ผู้เขียน หัวข้อ: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย  (อ่าน 2965 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Chris

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 2784
ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« เมื่อ: กันยายน 16, 2013, 15:53:00 »
ตอนเด็กๆ พ่อแม่มักจะเล่าถึงความน่ากลัวของเค้าคนนี้ให้เราไม่ดื้อ



ซีอุย แซ่อึ้ง



วันนี้ในอดีต เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2502 เกิดอะไรขึ้น…
ซีอุย แซ่อึ้ง ถูกประหารชีวิตโดยการยิงเป้า

16 กันยายน 2502 ซีอุย แซ่อึ้ง ถูกประหารชีวิตโดยการยิงเป้า หลังถูกจับได้จากคดีฆาตรกรรมและกินตับเด็ก (ด้วยเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ) อย่างน้อย 6 คนในช่วงปี 2497-2501 ซึ่งภายหลังถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน ต่อมาศพของซีอุยถูกเก็บเพื่อนำมาตรวจสอบ โดยเก็บรักษาไว้ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยยังคงถูกเรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “พิพิธภัณฑ์ซีอุย“



ซีอุย อาศัยเป็นชาวจีนโพ้นทะเลเข้ามาในเมืองไทยและขึ้นฝั่งที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีชื่อจริงว่า หลีอุย แซ่อึ้ง แต่คนไทยที่นั่นนิยมเรียกเพี้ยนเป็น ซีอุย ซีอุยทำงานด้วยการรับจ้างทำสวนผักและรับจ้างทั่วไป มีนิสัยชอบเกาหัวและหาวอยู่เสมอ ๆ บุคคลิกชอบเก็บตัว และนายซีอุยได้จับเด็กมาผ่าเอาตับมากินโดยเชื่อว่าเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยได้ทำการฆ่าเด็ก 3 รายแรก ที่ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และสุดท้ายถูกจับได้หลังจากคดีฆาตรกรรมในจังหวัดระยอง ซึ่งสุดท้ายโดนจับขังคุกและประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ในวันที่ 17กันยายน พ.ศ. 2502 ก่อนถูกประหารซีอุยรับว่า เมื่อสมัยอยู่เมืองจีน ได้ถูกเป็นเกณฑ์เป็นทหารไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้กินเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรกจากศพของเพื่อนทหารด้วยกัน จึงติดใจในรสชาติ เนื่องด้วยไม่มีอะไรจะกิน



รายละเอียด

หลาย ๆ คนอาจเคยไป พิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลศิริราช ชั้น 2
สิ่งที่สะดุดตาสำหรับการมาครั้งแรก มันไม่ใช้เครื่องมือแพทย์หรืออวัยวะดอง แต่มันคือโครงร่างของผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ในตู้กระจกขนาดใหญ่ ร่างกายแห้งเหี่ยว เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก โครงหลังบิดเบี้ยว ที่ถูกดองเก็บไว้อย่างดี เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา

มันเป็นโครงร่างมนุษย์ร่างเดียว ในประเทศไทย ที่ได้รับเกียรติสูงสุดนี้ ที่เป็นอาชญากรคนสำคัญของแผ่นดิน ที่เลื่องลือกล่าวขานกันเนิ่นนานและเป็นตำนานที่ไม่ลืมเลือน

เขาคือ ซีอุย แซ่อึ้ง ปีศาจฆาตกรกินคน

ทุกพื้นที่ ที่เขาเดินทางไป ศพแล้วศพเล่าเกิดจากการกระทำของเขา ทั้งข่มขื่น ทั้งฆ่า และผ่าศพเพื่อควักเอา อวัยวะภายในของเหยื่อออกมากิน

ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อาชญากรอัจฉริยะ แต่เขาก็สามารถสังหารเหยื่อถึง 6 ศพ และเขาอยู่รอดลอยนวลกว่า 5 ปี
เพราะอะไรเล่าที่ทำให้เขากลายเป็นปีศาจฆาตกรกินคนที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้

กำเนิดอสูร
ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2470 ในซัวเถา เด็กชายคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลกขึ้น เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้อง12 ของนายฮุนฮ้อ กับ นางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง พวกเขาได้ตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า นายหลีอุย แช่อึ้ง แต่พวกเราชาวสยามต่างรู้จักนามว่า "ซีอุย"

ทั้งสองมีอาชีพทำไร่มีฐานะ มีค่อนข้างยากจน และมีลูกมาก ซีอุยจึงขาดการดูแลจากพ่อแม่ ชั่วชีวิตของเขา เขาดำเนินชีวิตตามความพอของตนเองเป็นที่ตั้ง ออกจากบ้านไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ

เขาเกิดมาเป็นคนตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบเด็กวัยเดียวกัน (แม้เขาจะโตเป็นหนุ่ม เขาก็มีความสูงแค่ 150 เซนติเมตร) สาเหตุนี้เองเขามักถูกเด็กรอบข้างข่มเหงรังแก มาโดยตลอด มันเจ็บทั้งกายและใจ

จนกระทั้ง.................
วันหนึ่งมีมีนักบวชชรารูปหนึ่งเกิดนึกสงสารเด็กที่มักถูกรังแกจากเด็กวัยเดียวกัน เขาจึงได้คำแนะนำน่ากลัวกับเขาอย่างหนึ่งว่า.........

"นายต้องกินหัวใจและตับของคน นายจะได้มีพลังมหาศาลเพื่อต่อสู้กับคนมารังแกได้"
ซีอุยน้อยเชื่อคำแนะนำที่แสนชั่วร้ายอย่างสนิทใจ เขาเชื่อโดยไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ เขาเริ่มหันกินเนื้อสด ๆ เริ่มต้นด้วยการฆ่าสัตว์กินเครื่องใน เช่น ตับ ไต หัวใจ โดยคนรอบข้างไม่ห้ามปรามเพราะเขายังเด็กอยู่

ความทมิฬหินชาติได้เริ่มต้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว

พ.ศ.2488
ซีอุยอายุครบ 18 ปี เขาเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เขาถูกเกณฑ์ไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาประจำอยู่หน่วยรบทหารราบที่ 8 ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นทำสงครามอยู่ เขาถูกส่งไปรบในสมรภูมิพม่า แนวสนามรบตามรอยต่อตะเข็บแดนของประเทศจีน

เป็นเวลาเกือบ ปีเต็ม ๆ ที่เขาต้องเสี่ยงอันตรายจากห่ากระสุนปืนจากข้าศึก กระสุนเหล่านั้นปลิดชีวิตเพื่อน ๆ ของเขา ล้มตายดุจใบไม้ร่วง ตัวเขาก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส จากการสู้รบ ความหนาวเหน็บ และความอดอยากยากแค้น จนกระทั้งหน่วยรบของซีอุยพลาดท่าตกวงล้อมของข้าศึก เสบียงเริ่มหมดลง ซีอุยหิวกระหายอย่างหนักเพราะไม่มีอาหาร เขามองรอบ ๆ จนสายตาเขามาหยุดที่เพื่อนทหารที่ล้มตายราวผักปลา

นี้แหละอาหารชั้นหนึ่ง....................

เขาใช้มีดพกคู่กายกรีดศพเพื่อนทหารด้วยกันอย่างเลือดเย็นตั้งแต่หน้าอกจนถึงหน้าท้อง ควักหัวใจ ตับ และไส้ออก มาต้มกิน โดยไม่สนใจและความรู้สึกของเพื่อนทหารที่ตะลึงกับพฤติกรรมของเขา

และนี้เองคือที่มาของพฤติกกรมอันแสนสยดสยองของเขาในเมืองไทยในเวลาต่อมา

เมื่อสงครามสงบ...........ซีอุยถูกปลดจากกองทัพ แต่เขาไม่คิดอยู่เมืองจีนต่อไป เนื่องจากระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ รวมทั้งความอดอยากยากแค้น ชาวบ้านส่วนใหญ่พยายามอพยพหนีตายในเมืองไทยอย่างมากมายเพื่อนคนหนึ่งได้ชวนมาทำงานไทย(ในขณะที่ซีอุยได้กรรมกรแบกหามสินค้าของบริษัทเดินเรือค้ากับต่างประเทศ แห่งหนึ่ง)ว่าเมืองไทยมีงานทำหลายอย่างและรายได้ดีกว่ากรรมกรแบกหามในจีน
ซีอุยเห็นดีเห็นชอบด้วย เพราะมันยังดีกว่าอดตายในแผ่นดินเกิด และเขานึกขึ้นได้ว่าเขามีญาติและคนรู้จักในเมืองไทยหลายคนสามารถพึ่งพา อาศัย หางานได้บ้าง จึงตกลงเดินทางหางานในเมืองไทย

ไปสร้างตำนานสยองขวัญ ?

แรกมาเมืองไทย ชีวิตแบบนกขมิ้น

ซีอุยหลบหนีมาทำงานในไทย

ซีอุยเหยียบแผ่นดินไทยครั้งแรกที่ท่าเรือคลองเตยวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2489 ด้วยอายุเพียง 19 ปี เขาแอบแฝงมากับกลุ่มจับกัง ในเรือขนส่งสินค้าชื่อ "โคคิด" เป็นเวลานานกว่า 3 สัปดาห์

ขณะที่เรือเทียบท่าส่งสินค้าที่คลองเตยซีอุยกับเพื่อนหลบหนีขึ้นฝังมาพักที่โรงแรมเทียนจิน ตรอกเทียนกัวเทียน จังหวัดพระนคร แต่หาญาติที่รู้จักกันไม่พบ ก่อนที่จะเดินทางไปที่ อ.ทับสะเก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปทำงานรบจ้างทำไร่ทำสวน

เขาพักและทำงานหลาย ๆ ที่ ไป ๆ มา ๆ บ้างอยู่เป็นสัปดาห์ บ้างอยู่เป็นเดือน บ้างอยู่เป็นปี
จนกระทั้ง............
เวลาผ่านไป 8 ปี ซีอุยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยด้วยการรับจ้างทำสวนกับนายไอ่ แซ่เล้า จากการทำงานหนัก ร่างกายของเขาทรุดลง จิตใจพะวักพะวนหงุดหงิด คำแนะนำของนักบวชชราจีนจงผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้งหนึ่ง

เหยื่อรายแรก
10 เมษายนพ.ศ. 2497
หนึ่งทุ่มเศษซีอุยออกมาเดินเล่นในตลาดทับสะเก ระหว่างทางเดินผ่านหน้าโรงสีของนายกิ่ว บรรยากาศเงียบเชียบ มีแต่เสียแมลงร้อง และ แสงไฟที่ข้างรั่วโรงสี

จนกระทั้ง.........ซีอุยแลเห็น
ด.ญ.บังอร บุตรสาว 8 ขวบ ของนายตำรวจผู้หนึ่งเดินสวนมา มือถือขันอยู่ 1 ใบ นุ่งผ้าถุงแดง ท่อนบนเปลือยเดินอย่างสบายอารมณ์ ซีอุยอดใจไว้ไม่ไหว เดินตามเด็กหญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วจึงปรี่เข้าไปอุ้มเด็กเอามือปิดจมูกปิดปาก กึ่งเดินกิ่งวิ่งเข้าไปในทางมืดข้างโรงสี

เด็กหญิงโชคร้ายพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่ไม่สามารถทานแรงของซีอุยได้ จนสิ้นสติไป ในที่สุดร่างของเธอถูกวางบนพื้นดินใกล้ลำคลองเล็ก ๆ ความเงียบสงบ

เหยื่อรายที่ 2
วันที่ 9พฤษภาคม พ.ศ.2497
เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 เดือน ทุกคนต่างลืมเรื่องราวของด.ญ.บังอร เสียสิ้น

วันนี้ที่บริเวณลานกว้างที่ว่าการอำเภอทับสะแก ได้มีงานแต่งงานของนายมงคล สุดลาภา อดีตปลัดอำเภอทับสะแก

งานจัดอย่างยิ่งใหญ่ ชาวบ้านทับสะแกเกือบทุกคน ต่างหอบลูกจูงหลานมาร่วมงานมงคล งานนี้เกือบหมดอำเภอ

แต่ซีอุยไม่สนุกด้วย….....เขากำลังหาเหยื่อ ความหงุดหงิดงุ่มงามที่ฆ่าเหยื่อรายแรกครั้งแรกไม่ได้มันฝังลึกในจิตใจของเขา ความอ่อนเปลี้ยเพียงแรงได้กระตุ้นหาเหยื่ออีกครั้งในงานนี้

แน่นอน นอกจากผู้ใหญ่ที่มาร่วมงาน ยังมีลูกเด็กเล็กแดง ต่างตามพ่อแม่ ญาติพี่น้องมาวิ่งเล่นสนุกสนานอยู่หน้าเวทีลำวงบ้าง ตามทางเดินบ้าง ใครแยกออกจากกลุ่มนี้แหละเหยื่อของซีอุย

สายตาของเขามันจับจองเหมือนเลือกหมูกับปลาในตลาดสดไม่ปาน

จนกระทั้งสายตาจับต้องไปยังเด็กหญิงคนหนึ่ง

ด.ญ.นิด แซ่ภู่ วัย 11 ขวบได้แยกตัวออกจากกลุ่ม กับน้องสาวเพื่อกลับบ้านเพราะง่วงนอน เธอกำลังกลับบ้านแต่ทางไปบ้านเธอนั้นอยู่หลังเวทีลำวงเป็นทางเปลี่ยวและมืดสนิท ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับเสือที่จ้องตะครุบเหยื่อ ออกมาเพียง 200 เมตร ฝ่ามืออันหยาบกร้านตะปบปิดปากปิดจมูก หนูน้อยในทันที มันอุ้มร่างเด็กน้อย หายลับไปในรัตติกาลอันมืดมิด ทิ้งไว้แต่น้องสาวที่หวาดกลัวจนร้องไห้จ้า

เหยื่อรายที่ 3
เป็นเวลาหลายเดือนที่ซีอุยต้องตระเวนอยู่รอบอาณาจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพ ระนอง ก่อนที่จะกลับมายังถิ่นเก่า อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์อีกครั้ง แล้วทำงานและทำงานอยู่กลับนายเทียนเชีย แซ่ตั้ง แค่ 2 วัน มันก็เริ่มแผนอุบาทว์ขึ้นอีก

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2498
หลังจากเลิกงานจากไร่ถั่ว ซีอุยเดินออกมาจากไร่ไปตามร่องสวน จนกระทั้งพบด.ญ.ลิ้มเฮียง แซ่ลี้ อายุ 7 ขวบ ลูกสาวนายหยิ่นฝาและนางซิ่ว กำลังเดินอยู่ข้างทางห่างออกไปประมาณ 50 เมตร

แค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว สำหรับการกระตุ้นความวิปริตปีศาจที่อยู่ในจิตใจที่ผิดมนุษย์อย่างซีอุยแล้ว

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2498
มีผู้พบศพของด.ญ.ลิ้มเฮียง แซ่ลี้ นอนตายอืดอยู่สวนห่างจากบ้านแค่ 300 เมตร
เธอออกจากโรงเรียน แต่ไม่กลับบ้านเป็นเวลา 3 วัน สภาพศพเริ่มอืด เริ่มเน่าเฟะแทบจำไม่ได้ แต่สิ่งที่เหมือนกับศพแรก


แม้ต่างท้องที่ ต่างอำเภอ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็รู้ว่า ต้องเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกันแน่
การสืบสวนหาตัวฆาตกร จึงเริ่มต้นอย่างจริงจัง เพิ่มจำนวนคนมากขึ้น จากความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งสองอำเภอ ใช้เวลาไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามร้อยยอด สามารถจับผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ถึง 2 คน

นายเจือ เสียงเสนาะกับนายสนิท สังวาล์ยวงค์ เพื่อนบ้านใกล้ชิดของนายหยิ่นฝา อันเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบพบว่า มูลเหตุอาจมาจากทั้งสองกับนายหยิ่นฝาทะเลาะวิวาทเรื่องที่ดินและการทำสวนของทั้งสองฝ่าย รุนแรงถึงขั้นประกาศเอาชีวิตกัน

แต่ทั้งสองมีพยานหลายปาก ยืนยันที่อยู่ของเขาทั้งสองในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปล่อยตัวอย่างช่วยไม่ได้
ชาวบ้านต้องหวาดผวาอีกครั้ง เพราะฆาตกรตัวจริงยังลอยนวลอยู่ ไม่รู้ว่าลูกคนไหนจะถูกฆ่าอีก


เหยื่อรายที่ 4
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2498

ซีอุยยังไม่ได้หนีไปยังจังหวัดไหน เขายังไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ และเขายังอยู่อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และที่นี้เองเขาก็ได้ฆ่าคนอีกเป็นศพรายที่ 3
ด.ญ.หงั่น ลูกสาวของนายไกว และนางน้ำ แซ่ลี้ อายุ 10 ขวบ ได้หายไปหลังจากดูลิเกที่เปิดวิกการแสดงอยู่ข้างบ้าน เธออุ้มน้องสาววัย 10 เดือนออกไปด้วย แต่ภายหลัง มีผู้พบทารกน้อย นอนร้องไห้จ้าอยู่ริมถนนที่ไม่ไกลจากโรงลิเกมากนัก
วันรุ่งขึ้นก็พบศพตัวพี่สาวชั้น ป.3 อยู่ใกล้โรงเก็บน้ำมัน ของกรมทางหลวง ที่ตั้งอยู่ท้ายตลาด 3 ยอด สภาพศพไม่แตกต่างไปจาก 2 ศพก่อนหน้าไม่มากนัก

คราวนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับ นายทับ ฤาเผย รปภ.ของโรงเก็บน้ำมันมาสอบสวน เพราะเขาเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ในคืนนั้นมากที่สุด แต่ก็เช่นเคย ไม่มีอะไรในกอไผ่

ในขณะที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากมายจากกรมตำรวจ ต่างเดินทางประจวบคีรีขันธ์เพื่อคลี่คลายคดีนี้แต่ซีอุยมุ่งสวนทางไปกรุงเทพอีกครั้ง.............ไปสร้างตำนานสะท้านกรุงต่อไป


เหยื่อรายที่ 5
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498
กรุงเทพสมัย 40 กว่าปีก่อนนั้นยังร้างไร้ผู้คน
วันนี้เป็นวันพิเศษ ไม่เหมือนวันเดิมเพราะว่าเป็นวันตรุษจีน ทุกคนมีความสุขในวาระเฉลิมฉลอง ซีอุยเดินออกจากที่พักที่ทำงานของนายอิ่วไฉ่ แซ่อึ้ง นายจ้างร้านเหล้าและโซดา เมื่อทุ่มเศษ ๆ เดินไปอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั้งมาหยุดโรงงิ้วที่วัดปทุมวนาราม

ด.ญ.ลี่จู แซ่ตั้ง หนูน้อยวัย 4 ขวบ บุตรสาวของนายกิมบั๊ก พ่อค้าเหล็กย่านถนนมิตรไมตรี คือเหยื่อรายที่ 5 เธอชะตาขาดเพราะพลัดหลงกับแม่ตอนดูงิ้วที่วัด
ในที่สุด มันตัดสินใจอุ้มเด็กเคราะห์ร้ายไว้ในอ้อมแขน ใช้มือ อุด ปาก อุดจมูก ใช้ความมือเป็นเกราะกำบังตัว มันวิ่ง........วิ่ง เหนื่อยแทบขาดใจ จนถึงทางรถไฟสถานีรถไฟจิตรลดา
ศพของหนูน้อยชะตาขาดถูกทิ้งอยู่ ณ ที่เกิดเหตุ
และวันต่อมาข่าวนี้สร้างความโกลาหลและสะท้อนกรุงยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง แม้แต่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมกรมตำรวจยุคนั้นออกคำสั่งด่วนให้ดินตามฆาตกรรายนี้โดยเด็ดขาด

แต่ไม่มีใครจับซีอุยได้ เพราะมันใช้ชีวิตแบบนกขมิ้น ที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง มันจากกรุงเทพฯ ไปทำงานหลายจังหวัด ไม่ว่าลำพูน ธนบุรี เข้ากรุงเทพ ไประยอง ฯลฯ

เหยื่อรายที่ 6
6 กุมภาพันธ์ 2500 ที่ประจวบคีรีขันธ์ พระปฐมเจดีย์
วันตรุษจีน วันนี้มีงิ้วบนลานกว้างองค์พระปฐมเจดีย์ และเต็มไปด้วยฝูงคนมาชมเที่ยวงานห่างจากโรงงิ้วไม่มากนัก ซีอุยล่อลวง ด.ญ.ซิวจู แซตั้ง อายุ 5 ขวบ ที่หลงมากับแม่ด้วยขนมแป๊ะก๊วยเมื่อกินเสร็จ มันพาหนูน้อยชะตาขาดไปลานองค์พระปฐมเจดีย์ซึ่งมีต้นจามจุรี 1 ต้น

ครั้งนั้นตำรวจที่รับผิดชอบเวลานั้น เร่งติดตามคนร้ายอย่างเร่งด่วนอย่างสุดเหวี่ยงและได้จับกุม นายไสว ปิ่นสินชัย คนขายเนื้อในสมัยนั้น ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ช่วย ส.ส.พรรคไทยรักไทย เขต 3 นครปฐม โดยมีหลักฐานเป็นมีดเปื้อนเลือด ไฟฉาย และเกี๊ยะ ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นของนายไสว กว่าจะรู้ว่าจับผิดตัวนายไสวจำคุกนานถึง 1 ปีเต็ม

แน่นอนหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯ ได้เสนอข่าวนี้อย่างครึกโครม ซีอุยทนกระแสกดดันไม่ไหว จึงรีบหลบหนีไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และกลับมายังนครปฐม มันเร่รอนไปทั่วทุกแห่งในประเทศไทย พร้อมฟังข่าวว่ามีเรือกลับเมืองจีนหรือไม่

เขาฝันอยากกลับบ้านเกิดมาตั้งนานแล้ว

เมื่อไม่มีเรือกลับ ซีอุยจึงมาเป็นลูกจ้างทำสวนผักของนายอิ๋ดเจียก แซ่อึ้ง ที่ตำบลเนินพระ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง และที่นี้เองคือที่สุดท้ายที่มันจะก่อกรรมทำเข็ญ

เหยื่อรายที่ 7 รายสุดท้าย
27 มกราคม พ.ศ. 2501
นี้เป็นข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ของซีอุย เพราะเขาตั้งใจที่จะสังหารเหยื่อที่เป็นเด็กชายคนแรกแทนที่จะเป็นผู้หญิงและเป็นคนที่เขารู้จัก ในเวลานั้นเวลาประมาณ 15.00 น.ซีอุยยังทำงานที่สวนของนายเฉลียว ขุดดินปลูกผักอยู่ในไร่ ทันใดนั้นเหยื่อสุดท้ายของเขาก็มาหา
ด.ช.สมบุญ บุตรนาวา บุญยกาญจน์
สองรู้จักกันมานานแล้ว ในฐานะลูกค้าซื้อผักประจำ แต่ซีอุยทนแรงยั่วยวนไม่ไหว มันหาจังหวะที่จะฆ่ามานานแล้ว และวันนี้เป็นวันที่เหมาะสมอย่างยิ่ง และลงมือฆ่า

แต่ครั้งนี้มันแตกต่างกับเหยื่อรายอื่น ๆ ที่มันจัดการ มันคิด หากมีผู้พบเห็นศพมันจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยแน่นอน เพราะพ่อแม่เด็กนั้นต้องรู้ดีว่าได้ใช้ลูกของต้นมาซื้อผักที่สวนนี้

มันจึงตัดสินใจกลับไปที่สวนยางพาราอีกครั้ง มันทำการกำจัดศพ มันใช้ไฟเผา ชั่วพริบตาเดียวไฟก็ลุกลามไปเศษไม้ใบแห้งจนลามติดเนื้อหนังมังสาของเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย

ห่างจากตำบลเนินพระไปเล็กน้อย นายนาวา บุณยกาญจน์ พ่อของเด็กชายสมบุตร และนายเสงี่ยม ม่วงแสง เพื่อนบ้าน กำลังออกตามหาลูกชาย เพราะเป็นห่วงว่าให้ไปซื้อผักที่เนินพระและไม่กลับมา ซึ่งตอนแรกทั้งสองคนพากันเดินทั่วบริเวณสวนผัก

มันคงถึงคราวชะตาขาดของซีอุย ที่มันก่อกรรมทำเข็นไว้มาก นายนาวาและนายเสงี่ยมได้ตรงไปที่ซีอุยใช้เป็นที่กำจัดหลักฐาน(ศพ) ทั้งสองเฝ้ามองพฤติกรรมที่น่าสงสัยของซีอุย และเขาก็อุทานอย่างไม่เป็นภาษาคน เมื่อเห็นวัตถุอย่างหนึ่งโผล่ออกจากกองไฟ

มันเป็นขาคน ขาของเด็กชายสมบุตร

ไฟยังไม่ติดหมดทั่วร่าง สภาพยังเห็นศพเด็กน้อยครบสมบูรณ์อยู่ นายนาวาไม่รอช้าปราดไปเขี่ยกองไฟแล้วอุ้มร่างไร้วิญญาณของลูกรักไว้แนบอก ดวงตาและสีหน้าโกรธแค้น

นายนาวาคำรามดุดัน วางศพลูกชายลงกลับพื้นโผเข้าใส่ซีอุยอย่างบ้าคลั่ง

ซีอุยไม่ได้ต่อสู้เพราะตัวมันไม่มีอาวุธอะไรเลย มันยอมให้นายนาวาและนายเสงี่ยมจับมัดไว้ที่เสาบริเวณบ่อน้ำของสวนผัก ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมา 2 ชั่วโมง และเก็บหลักฐาน หัวใจและตับที่ซ่อนในตู้กับข้าว

ซีอุยให้การรับสารภาพในสิ่งที่มันทำทั้งหมด



การตัดสินของศาล
ซีอุยขึ้นศาลชั้นต้นในจังหวัดระยอง ซึ่งตอนแรกเป็นการสืบคดีเด็กชายสมบุญก่อน แล้วจึงเล่าว่าได้ก่อคดีแบบนี้ที่จังหวัดอื่นหลายแห่ง มากถึง 6 ศพ

ตามกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 289ไม่พ้นโทษประหารแน่

แต่จำเลยรับสารภาพหมดทุกข้อกล่าวหา และให้คำสัตย์จริงตั้งแต่ต้น เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน ศาลจึงลดโทษให้จำคุกตลอดชีวิตแทน

ซีอุยยิ้มไม่หุบเพราะมันรอดตาย

แต่อัยการ นายสุเมธ กาญจนอักษร ไม่คิดเช่นนั้น เนื่องจากสังคมไม่ยอมรับและให้อภัยการกระทำที่ซีอุยทำไว้ ความรู้สึกประชาชนและความหวาดระแวงต่าง ๆ ก็ยังเกิดขึ้น ถ้าฆาตกรกินคนยังมีชีวิตอยู่ จึงได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาล ฐานฆ่าคนโดยไต่ตรองไว้ก่อนโดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้าย ต่อสู้คดีจนถึงบทสรุปที่ศาลอุทธรณ์

ต้องประหารชีวิตสถานเดียว
ส่วนที่ศาลชั้นต้นลดโทษ เพราะจำเลยรับสารภาพ แต่ที่ทำเพราะมีพยานและหลักฐานแน่นหนา เมื่อมีหลักฐานจำเลย(ซีอุย)ก็ไม่จำเป็นที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ไม่มีเหตุผลอื่นที่จะลดโทษอีก

ซีอุยเมื่อฟังคำตัดสิน ถึงกับเป็นลมกลางอากาศ ล้มผลึ่งกลางศาลลงนอนกลับพื้น ภายหลังเครียดจัดถึงกับอัดบุหรี่เข้าปอดอย่างรุนแรง 4 ครั้ง

ในระหว่างรอการประหาร ซีอุย แซ่อึ้ง ถูกส่งตัวขังเดี่ยวที่เรือนจำบางขวางจังหวัดนนบุรี และเกือบตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยช้อนสังกะสีสำหรับตักข้าวกิน แต่ผู้คุมมาเห็นก่อน
วันประหารของซีอุยถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว


จุดจบ 17 กันยายน 2502 ที่เรือนจำบางขวาง จังหวัดนนบุรี

ปัง ๆๆๆๆๆๆ ปัง ๆๆๆๆๆ

เสียงปืนดังลั่นที่ลานประหาร
สิ้นสุดเสียงดัง เมื่อควันจาง ก็ปรากฏร่างชายชาวจีนผู้หนึ่งรูปร่างสมส่วนคนหนึ่ง เลือดอาบทั่วร่างกาย ลมหายใจแห่งชีวิตหมดลง

ไม่รู้ว่าเขาตายแล้ววิญญาณจะไปไหน

อาจเป็นแผ่นดินเกิดที่ ๆ ที่เขาอาจกลับไปตลอดชีวิตหลังพลัดถิ่น หรืออาจเป็นนรกอเวจีที่ ๆ ที่เขาต้องไปชดใช้กรรมอย่างไม่สิ้นสุด เพราะเขาคือ ..........

ซีอุย แซ่อึ้ง ปีศาจฆาตกรกินคน


ก่อนจบ

ในหลายสิบปีให้หลังมีผู้สนใจเรื่องราววิปริตของซีอุย พยายามค้นคว้าและพบว่าคดีนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลไม่น้อยถึงขนาดตั้งข้อสังเกตว่าซีอุยเป็นฆาตกรวิปริต หรือแค่แพะรับบาปเท่านั้น !??ประการหนึ่ง ซีอุยเป็นผู้รับสารภาพเองว่าเป็นฆาตกร ในขณะที่ตำรวจเองไม่มีหลักฐานใดๆ มัดตัวคนร้าย เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยซีอุยลอยนวลอยู่นานหลายปี
การที่ตำรวจคลี่คลายคดีเก่าๆ ได้ มีหลักฐานเดียวคือคำสารภาพของซีอุยเท่านั้น !??

น่าสนใจว่าซีอุยพูดไทยไม่ได้มาก ต้องให้การผ่านล่าม คำแปลและความเข้าใจของซีอุยเกี่ยวกับความผิดหรือคำสารภาพนั้นมีมากขนาดไหน มีการตั้งข้อสังเกตว่าซีอุยอาจจะสารภาพไปตามบท เพราะเข้าใจว่าเมื่อจบเรื่อง ตัวเองจะถูกส่งกลับเมืองจีนเท่านั้น

จากข่าวในห้วงเวลานั้นพบว่าคำรับสารภาพของซีอุยก็สับสน และบางเรื่องไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเกิดเหตุอีกด้วย !??

ในจำนวน 6 ศพที่ซีอุยก่อเหตุ มีบางศพที่ไม่ได้ถูกควักหัวใจและตับออกมากิน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์การฆ่าอย่างสิ้นเชิง ตำรวจแถลงว่าที่ไม่กินเพราะซีอุยบอกว่า ตับกับหัวใจเล็กเกินไป กินไม่อิ่มเลยไม่กิน !??
ระหว่างที่ตำรวจคุมตัวซีอุย ไปทำแผนฯ บางคดีพิสดารและเหลื่อเชื่อเกินไป เช่น รายหนึ่งซีอุยให้การว่าฆ่าเด็กแล้วอุ้มวิ่งเข้าไปในสวนลึกหลายกิโล แถมยังแวะอาบน้ำอาบท่าระหว่างทางอีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวผิดวิสัยเกินไป

อีกจุดหนึ่งคือการลงมือระหว่างเหยื่อรายที่ 6 และรายที่ 7 ที่ทิ้งช่วงเวลาห่างกันถึง 1 ปี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ซีอุยก่อเหตุถึง 6 คดีในเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นหรือคดีที่ ต.ทับสะแก ซึ่งซีอุยสารภาพว่าลงมือถึง 4 ครั้ง รายแรกทำไม่สำเร็จ แต่ก็ลงมือได้ในอีก 3 รายต่อมา

ตามปกติทั่วไปเมื่อก่อเหตุครั้งแรกไม่สำเร็จ ซีอุยน่าจะหลบหนีเพราะเด็กต้องจำหน้าได้ กลับกล้าอยู่ในพื้นที่เดิมและลงมือกับเหยื่ออีก 3 รายซ้อน ฯลฯ
แม้มีการตั้งข้อสังเกตหรือข้อสงสัยมากมาย แต่อย่างไรเสียคงไม่สามารถหาข้อยุติหรือตรวจสอบให้แน่ชัดได้แต่ก็น่าสนใจว่าหลังตำรวจจับกุมซีอุยได้ คดีฆ่าผ่าท้องเด็กก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย !??

ข้อมูลจากหนังสือ ซีอุย มนุษย์กินคน เรียบเรียงโดย ท่านขุน บุญราศรี

ที่มา ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 16, 2013, 16:00:12 โดย Chris »
Born to be a Bimmer lover
I'm a E46 addict!
''อคติ คือสิ่งที่คนโง่ใช้แทนเหตุผล''

Krisada511

  • คิดว่าดีก็ทำต่อไป
  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 13170
  • 325i M-Sport-N52k
    • http://www.subaruxvthailand.com/
Re: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 16, 2013, 15:57:36 »
ตอนเด็กๆ เคยไปดูตู้ในภาพ กลับมา กินข้าวไม่ลงหลายมื้อ
สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว / ขอแนะนำเวปส่วนตัว ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

แสนสุข

  • ขาประจำ
  • ****
  • กระทู้: 17
Re: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 16, 2013, 16:01:53 »
 ;) :-X

Chris

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 2784
Re: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 16, 2013, 16:03:44 »
ซีอุย ยุคใหม่ครับ ชอบชวนสาวไปกินตับ >:D
Born to be a Bimmer lover
I'm a E46 addict!
''อคติ คือสิ่งที่คนโง่ใช้แทนเหตุผล''

perjer

  • คนคุ้นเคย
  • ***
  • กระทู้: 75
  • เพ้อ เจ้อ จิง จิง
Re: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 00:26:06 »
 :-X :-X ตอนเดกๆกัวมากเรยคับ  แหะๆๆ

Ngee

  • ขาประจำ
  • ****
  • กระทู้: 80
Re: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 00:59:18 »
แค่อ่านประวัติ ก็แทบจะกินข้าวไม่ลงล่ะคับ O0

kim

  • มือใหม่หัดขับ
  • *
  • กระทู้: 63
Re: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 08:02:02 »
เดี้ยวพาไปกินลาบเลือดใส่ดีซะทีดีไหมนิ

Chris

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 2784
Re: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 10:24:15 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
เดี้ยวพาไปกินลาบเลือดใส่ดีซะทีดีไหมนิ
เลือดไม่ไหว O0
Born to be a Bimmer lover
I'm a E46 addict!
''อคติ คือสิ่งที่คนโง่ใช้แทนเหตุผล''

asune46

  • บุคคลทั่วไป
Re: ยังจำมนุษย์กินคนผู้นี้ได้มั๊ย
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 13:29:27 »
ขอบคุณสำหรับข้อมูล

อ่านตอนกินข้าว กินไม่ค่อยจะลงเลย :o