มุสาวาทา เวรมณี คือ การงดเว้นจากการพูดเท็จ ความมุ่งหมายในการทรงบัญญัติสิกขาบทข้อนี้ คือ เพื่อป้องกันการทำลายประโยชน์ของตนและผู้อื่น ด้วยการพูดเท็จ และให้เป็นคนมีสัจจวาจา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอธิบายสิกขาบทข้อนี้ว่า
มีข้อห้ามและขอบเขตทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งผู้รักษาศีลจะต้องเว้นเพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ คือ
๑. มุสาวาท ๗ วิธี (การแสดงเท็จ หรือลักษณะแห่งมุสาวาท) ท่านประมวลไว้มี ๗ วิธี คือ
๑. ปด ได้แก่การโกหกชัด ๆ ไม่รู้ว่ารู้ ไม่เห็นว่าเห็น ไม่มีว่ามี เป็นต้น
๒. ทนสาบาน คือ ทนสาบานเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าตนไม่เป็นเช่นนั้นจะด้วยวิธีแช่งตัวเองหรือด้วยวิธีนั่งนิ่งเมื่อถูกถามก็จัดเป็นทนสาบาน
๓. ทำเล่ห์กะเท่ห์ ได้แก่ การอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์เกินความจริง เช่นอวดวิเศษเรื่องใบ้หวยโดยไม่รู้จริงเห็นจริงเป็นต้น
๔. มายา แสดงอาการหลอกคนอื่น เช่น ไม่เจ็บทำเป็นเจ็บ เจ็บน้อยทำเป็นเจ็บมากเป็นต้น
๕. ทำเลศ คือ ไม่อยากจะพูดเท็จแต่พูดเล่นสำนวน พูดคลุมเครือให้ผู้ฟังคิดผิดไปเอง เช่น เห็นขโมยวิ่งผ่านหน้าไป ไม่อยากบอกให้ผู้อื่นทราบว่าตนเห็น จึงย้ายที่ยืนหรือที่นั่งไป เมื่อถูกถามพูดเล่นสำนวนว่าอยู่ที่นี่ไม่เห็น อย่างนี้เรียกว่าทำเลศ
๖. เสริมความ เรื่องเล็ก แต่พูดให้คนฟังเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เช่น เห็นไฟไหม้หญ้าแห้งก็ตะโกนเสียงดังว่าไฟๆ เพื่อให้คนแตกตื่นตกใจหรือโฆษณาสินค้าพรรณนาสรรพคุณจนเกินความจริง
๗. อำความ ตรงกันข้ามกับเสริมความ คือเรื่องใหญ่แต่พูดให้เป็นเรื่องเล็กหรือปิดบังอำพลางไว้ไม่พูดไม่รายงานต่อผู้มีหน้าที่ให้รับทราบ ข้อห้ามหรือขอบเขตของสิกขาบทนี้ มีทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งผู้รักษาศีลจะต้องเว้นเพื่อรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ คือ
๑. มุสา
๒. อนุโลมมุสา
๓. ปฏิสสวะ
๑. มุสา แปลว่าเท็จ หรือไม่จริง การกล่าวคำเท็จหรือคำไม่จริง เรียกว่ามุสาวาทหรือพูดโกหก ส่วนมากใช้วาจา แต่การแสดงเท็จหรือโกหกอาจแสดงได้ทั้ง ๒ ทาง คือ ทางวาจากับทางกาย ทางวาจา คือ พูดคำเท็จออกมาทางกาย คือ แสดงทางกาย เช่น การเขียนจดหมายโกหก รายงานเท็จ ทำหลักฐานปลอม ตีพิมพ์ข่าวเท็จ เผยแผ่ทำเครื่องหมายให้คนอื่นหลงเชื่อตลอดจนการใช้ใบ้ให้คนอื่นเข้าใจผิด เช่น สั่นศีรษะหรือโบกมือ ปฏิเสธในเรื่องควรรับหรือพยักหน้ารับในเรื่องที่ควรปฏิเสธ เป็นต้น
๒. อนุโลมมุสา คือ การไม่แสดงเรื่องเท็จทั้ง ๗ อย่าง แต่พูดเรื่องไม่จริงซึ่งไม่มีเจตนาจะกล่าวเท็จ แต่เจตนาจะให้เขาเจ็บใจหรือแตกร้าวกัน เป็นต้น เรียกว่า อนุโลมมุสา เช่น
-พูดเสียดแทง กระทบกระแทก แดกดัน
-พูดประชด ยกให้เกินความจริง
-พูดด่ากดให้ต่ำกว่าความเป็นจริง
-พูดสับปลับ ด้วยความคะนองวาจา แต่ไม่ตั้งใจให้เข้าใจผิด
-พูดคำหยาบ คำต่ำทราม
ไม่จัดเป็นมุสาวาทแต่ศีลด่างพร้อย
๓. ปฏิสสวะ ได้แก่ การรับคำของคนอื่นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่ภายหลังกลับใจไม่ทำตามที่รับคำนั้นโดยที่ตนยังพอทำตามคำนั้นได้อยู่ มี ๓ อย่าง คือ
๑. ผิดสัญญา ว่าจะทำด้วยความสุจริตใจ แต่กลับไม่ทำในภายหลัง
๒. เสียสัตย์ ให้สัตย์ปฏิญาณไว้แล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตาม
๓. คืนคำ รับปากว่าจะไป แต่กลับใจภายหลังไม่ไป
ทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่เป็นมุสาวาท ศีลไม่ขาดแต่ทำให้ศีลด่างพร้อยได้ ในอัฏฐสาลีนี ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของมุสาวาท ว่าต้องพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ คือ
๑. เรื่องไม่จริง
๒. เจตนาจะพูดเรื่องนั้น
๓. พูดหรือแสดงออกไป
๔. ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความนั้น
ในการพิจารณาว่ามุสาวาทอย่างไรมีโทษมากหรือมีโทษน้อยท่านได้อธิบายไว้ว่ามุสาวาทที่ทำลายประโยชน์ของผู้อื่นมาก คือเขาได้รับความเสียหายมากมีโทษมาก ได้รับความเสียหายน้อยก็มีโทษน้อย ส่วนการกำหนดโดยวัตถุเจตนาและประโยคเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
แต่ยังมีคำพูดอีกประเภทหนึ่งที่เป็นคำไม่จริง แต่พูดแล้วไม่เป็นมุสาวาท คือคำพูดที่พูดตามที่ได้ยินได้ฟังมาหรือเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง เรียกว่า ยถาสัญญา คำพูด
ประเภทนี้มี ๔ อย่าง คือ
๑. โวหาร พูดตามสำนวนโลก ที่ใช้กันจนเป็นแบบธรรมเนียม เช่น คำลงท้ายจดหมายว่า ด้วยความเคารพอย่างสูงหรืออย่างยิ่งเป็นต้น แม้ว่าจะไม่ตรงตามความเป็นจริงก็ไม่เป็นมุสาวาท
๒. นิยาม การเล่านิยายหรือแสดงลิเก ละคร เป็นต้น แม้จะเป็นเรื่องไม่จริงแต่ก็ไม่เป็นมุสาวาท
๓. สำคัญผิด พูดด้วยเข้าใจว่าถูกต้อง ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นไม่ถูกไม่เป็นความจริงเช่น จำวันผิดบอกไปโดยเข้าใจว่าถูก ไม่เป็นมุสาวาท
๔. พลั้ง พูดด้วยความพลั้งเผลอ โดยไม่ได้ตั้งใจให้ผิดพลาด ไม่เป็นมุสาวาท
ที่มา : ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์
สมัครสมาชิก หรือ
ล็อกอิน
