แตกต่างแต่ไม่แตกแยก ด้วยวัฒนธรรมการพูดอย่างสร้างสรรค์ เจษฎา ไชยพงษ์
การแสดงความรู้สึกนึกคิดโดยถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ประเภทหนึ่งเรียกว่า “วาทศิลป์” เป็นศิลปะแห่งการพูดที่มนุษย์ประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นมา เพื่อใช้ในการสื่อสารถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองกับบุคคลอื่นในสังคมรอบตัว การพูดหรือการแสดงความคิดเห็นย่อมมีเป้าหมายที่ผู้พูดต้องการสื่อสารให้คู่สนทนาหรือบุคคลอื่นได้รับรู้รับฟังความรู้สึกนึกคิดของผู้พูด
การแสดงความคิดเห็นออกมาในลักษณะคำพูดโต้แย้ง เพราะเห็นแตกต่างหรือไม่เห็นด้วย ถือเป็นธรรมชาติที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน ซึ่งมีสติปัญญาที่สามารถคิดเป็นเหตุเป็นผลได้ แต่ลักษณะรูปแบบในการแสดงออกทางวาจาหรือคำพูดซึ่งความเห็นที่ขัดแย้งแตกต่างนั้น ขึ้นอยู่กับสังคมนั้นๆ มีระบอบการปกครองแบบใด ถ้าเป็นการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ สิทธิในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งก็ย่อมถูกจำกัดอยู่ในกรอบกฎหมายของรัฐ แต่หากเป็นสังคมในระบอบประชาธิปไตย สิทธิในการแสดงความคิดเห็นได้เปิดกว้างอย่างเสรี ตราบใดที่ไม่ไป
กระทบหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น
สำหรับสังคมไทยทุกวันนี้ ในมิติการเมืองเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ปรากฏการณ์การใช้คำพูดโต้เถียงขัดแย้งกัน เนื่องจากมีความคิดเห็นที่แตกต่างต่าง มีให้พบเห็นอย่างกว้างขวางและเพิ่มมากขึ้นตามสถานการณ์ที่เป็นไปของสังคมไทย ซึ่งปรากฏการณ์การแสดงออกซึ่งความแตกต่างทางความคิด หากโต้เถียงกันด้วยเหตุผลโดย
ไม่ใช้อารมณ์หรือกำลังทำร้ายกัน ถือเป็นบรรยากาศหรือสีสันของความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นพัฒนาการวิถีทางแบบทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นหรือเสนอข้อเรียกร้องของตนเองต่อภาครัฐ ภายใต้กติกาการยอมรับความเห็นของเสียงส่วนใหญ่และเคารพความเห็นของเสียงส่วนน้อย อันถือเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย ซึ่งความแตกต่างขัดแย้งทางความคิด ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความแตกแยกของสังคมเสมอไป
ถ้าสังคมไทย “เปิดใจ” ยอมรับฟังในความเห็นที่แตกต่างเหล่านั้นอย่าง “เห็นใจ” และ “เข้าใจ” สังคมไทยก็จะสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งและการแบ่งแยกทั้งปวง และอาจเป็นทางออกสู่สังคมสันติสุขร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ส่วนสังคมใกล้ตัวเช่นสังคมในที่ทำงานประจำวัน ความแตกต่างทางความคิดย่อมมีให้พบเห็นและถือเป็นเรื่องธรรมดาที่มีอยู่ในทุกหน่วยงาน แต่หากมีวิธีสื่อสารมีการใช้คำพูดอย่างสร้างสรรค์ ความแตกต่างทางความคิดระหว่างบุคคลก็ไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง เพียงเราใช้วาทศิลป์หรือการพูดอย่างสร้างสรรค์ เราก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างมีความสุข แต่ในมุมกลับกัน ลองนึกเล่นๆดูว่าถ้าการทำงานในแต่ละวันเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ทุกวันได้ยินแต่เสียงทะเลาะเบาะแว้งโต้เถียง ก่นด่าใส่กันด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร มีแต่คำพูดตำหนิติเตียน ดูถูกเหยียดหยามหรือพูดจาใส่ร้ายป้ายสี ชีวิตการทำงานของเราคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด หดหู่ คับแค้นใจ และคงไม่มีความสุขในการทำงานในที่แห่งนั้นอีกต่อไป ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการพูดจาอย่างสร้างสรรค์ให้มากขึ้น เพราะเป็นประโยชน์และสร้างบรรยากาศการปฏิสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน ย่อมจะนำไปสู่ความสามัคคีร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายขององค์กร
การสร้างความสุขในที่ทำงานด้วยการพูดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงานนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างง่ายดายและไม่ต้องลงทุนให้สิ้นเปลืองงบประมาณค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เพียงแค่ทุกคนร่วมใจกันสร้างวัฒนธรรมการพูดในที่ทำงานด้วยคำพูดที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกที่ดี ได้แก่การกล่าวคำว่า สวัสดี ขอโทษ ขอบคุณ ขอบใจ ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ให้ติดปากเป็นประจำจนกลายเป็นอุปนิสัยประจำตัว ก็จะช่วยกล่อมเกลาจิตใจของผู้พูดให้อ่อนโยนลง และผู้ฟังก็มีความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว
การพูดทักทายกันด้วยคำว่า “สวัสดี” พร้อมทั้งยิ้มให้กันอย่างจริงใจ หรือการยกมือไหว้ทักทาย จะแสดงถึงแสดงความเป็นมิตร ความมีอัธยาศัยไมตรี การมีมารยาทอันดีงามตามวัฒนธรรมไทย ซึ่งสามารถช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นระหว่างทุกคนในที่ทำงานโดยไม่ต้องเสียเงินลงทุนใดๆ เลย
การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” เมื่อตนเองทำผิด เป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญในการรับผิดชอบผลที่ตัวเองได้กระทำลงไป ถึงแม้จะเป็นผู้ใหญ่แต่หากทำผิดก็ควรขอโทษผู้น้อยได้เช่นกัน ถือเป็นการแสดงออกซึ่งสปิริตที่น่ายกย่องชื่นชม ไม่ถือเป็นการเสียหน้าหรือเสียศักดิ์ศรีแต่อย่างใด นอกจากนั้นการขอโทษถือเป็นการแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน คำพูดขอโทษจะทำให้อีกฝ่ายลดความรู้สึกโกรธเคืองช่วยให้บรรยากาศที่กำลังตึงเครียดผ่อนคลายและดีขึ้นมาได้
การกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” หรือ “ขอบใจ” เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกสำนึกในน้ำใจที่ ได้รับหรือเห็นคุณค่าในการกระทำของอีกฝ่าย เป็นการตอบแทนด้วยคำพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกชื่นใจ ยินดีและมีกำลังใจอยากจะทำความดีโดยการให้หรือมีน้ำใจอยากช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปอีกเรื่อย เมื่อทุกคนทำได้เช่นนี้ สังคมก็จะเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจแบ่งปันให้แก่กันและกัน
การกล่าวคำว่า “ไม่เป็นไร” เป็นการพูดที่แสดงออกถึงการให้อภัย การยกโทษให้หรือไม่ถือโทษโกรธเคือง ผู้พูดหรือผู้ถูกกระทำเมื่อพูดคำว่าไม่เป็นไรออกไปแล้วจะรู้สึกสบายใจ เพราะได้ให้อภัยแก่ผู้กระทำความผิดไปแล้ว ส่วนผู้ฟังหรือผู้กระทำความผิดก็จะรู้สึกยินดีและคลายความกังวลใจที่อีกฝ่ายไม่ถือโทษโกรธเคือง
การกล่าวคำว่า “ช่างมันเถอะ” ถือเป็นการแสดงออกซึ่งการปลอบโยน และให้กำลังใจกันเมื่อผู้อื่นผิดพลาดหรือผิดหวังในเรื่องใดๆ นอกจากนั้น ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นการปล่อยวางไม่ยึดติด พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ ไม่วิตกกังวลในเรื่องต่างๆจนเกินเหตุ ลดความเห็นแก่ตัว การยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู และมองโลกในแง่ดีตลอดเวลา เมื่อคิดหรือพูดออกไปเช่นนั้น ผู้พูดจะรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งโล่งเบาสบาย ไม่มีความรู้สึกหนักอกหนักใจในเรื่องใดๆ ส่วนผู้ฟังก็จะรู้สึกคลายความกังวลหรือความเศร้าหมองในจิตใจ
นอกจากคำพูดเหล่านี้แล้ว การพูดในเชิงสร้างสรรค์ การชมเชย การกล่าวคำพูดให้กำลังใจกันไต่ถามทุกข์สุขของกันและกันอยู่เสมอ รู้จักพูดจายกย่องชื่นชมผู้อื่นอย่างจริงใจ หลีกเลี่ยงการพูดจานินทา กล่าวโทษหรือกล่าวถึงความไม่ดีของผู้อื่น และการพูดจาแบบประนีประนอม ในฐานะคนกลางที่ช่วย ประสานความเข้าใจระหว่างสองฝ่าย จะช่วยให้ผู้ร่วมงานประทับใจและไว้วางใจเรา
สำหรับผู้ที่มีนิสัยคิดเล็กคิดน้อย คิดว่าไม่มีใครเข้าใจตนเอง หรือมักจะหงุดหงิด อารมณ์เสียกับผู้ร่วมงาน ควรฝึกที่จะพูดถึงความต้องการในใจของตนเองออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้ ด้วยถ้อยคำหรือประโยคคำพูดที่ไม่ซับซ้อนและผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย เช่น ถ้าต้องการให้ใครทำอะไร ควรบอกไปตามตรง โดยใช้วิธีขอร้องหรือขอความช่วยเหลือดีๆ จะทำให้ผู้ร่วมงานรู้ถึงความต้องการ และสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง อย่าปล่อยให้ผู้อื่นต้องคอยเดาใจอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่มีใคร ที่จะรู้ใจใครไปเสียทุกเรื่อง แม้จะสนิทสนมกันมากเพียงใดก็ตาม
ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ถ้ายังอารมณ์ไม่ดีควรสงบปากสงบคำ อย่าเพิ่งพูด หรือทำอะไรออกไป เพราะอาจจะทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต หรืออาจจะต้องเสียใจในภายหลัง ควรหลบหน้าหรือเลี่ยงการเผชิญหน้ากันไปสักพัก รอให้อารมณ์ดีขึ้นก่อนจึงค่อยกลับมาพูดจากันใหม่ด้วยเหตุด้วยผล ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ ควรหาคนกลาง ที่ทั้งสองฝ่ายเคารพเชื่อถือมาไกล่เกลี่ย หรือถ้าเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนถึงคนหลายคน ควรมีการประชุมและให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยตัดสินใจหรือบางทีอาจจะต้องอาศัยกฎระเบียบของหน่วยงาน หรือใช้กฎหมายมาเป็นตัวช่วยตัดสินใจลดความขัดแย้ง
ถ้าเราสามารถปรับปรุงการพูดให้ดีขึ้นได้ นอกจากจะช่วยพัฒนาตัวเองให้มีเสน่ห์ เป็นที่ชื่นชอบของผู้ร่วมงานแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ สร้างมิตรภาพในที่ทำงานให้ดีขึ้น ทำให้บรรยากาศความเคร่งเครียดกดดันในการทำงานลดน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด
-------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์
สมัครสมาชิก หรือ
ล็อกอิน 