*

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@  (อ่าน 6238 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
@@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 20:27:00 »
.....ช่วงนี้บอร์ดเงียบไม่ค่อยมีอะไรอ่านเลยหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ มาแบ่งปันกันยามว่างงาน ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือสำคัญอะไรมากก็แค่วามรู้ทั่วไปเรื่องรถไว้อ่านเล่นกันให้เบื่อไปเลย....ในหลายๆ เรื่อง ซึ่งใช้กันในชีวิตประจำวัน ผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วยนะครับ.... ว่าแล้วก็เริ่มกันเลย

บทที่ 1 12 วิธีการประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆ 



ขั้นตอนการประหยัด ผลที่จะได้รับ
 
1.เติมน้ำมันหลัง 4 ทุ่ม หรือก่อน 9 โมงเช้าเสมอ อุณหภูมิที่เย็นน้ำมันหดตัวได้ปริมาตรมากขึ้น 2%
2.เติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัดพอแล้ว ถ้าเติมจนเต็มปรี่ ร้อนๆน้ำมันจะขยายตัวระเหยทิ้งที่รูระบาย
3.อุ่นเครื่อง 1 นาทีในหน้าร้อนและ 3 นาทีในหน้าหนาว เครื่องจะได้ไม่ใช้กำลังฉุดมากและการหล่อลื่นจะสมบูรณ์ขึ้น
4.ค่อยๆออกตัวเมื่อรถจอดนิ่ง 1-2 พันรอบ ได้ความนิ่มนวล ประหยัด และลดการสึกหรอของเครื่องยนต์
5.ควรใช้เกียร์สูงเมื่อรถวิ่งได้ 2500 รอบขึ้นไป การลากเกียร์จะทำให้ชดเกียร์ทำงานจนอายุการใช้งานสั้น
6.เครื่อง 2.0 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด110 กม./ชม. รักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
7.เครื่อง 1.6 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด 90 กม./ชม. รักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
8.พักรถสัก 15 นาทีเมื่อขับเกิน 4 ชม.เพื่อให้ลดความร้อน ให้น้ำมันในระบบคลายความร้อนกลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง
9.เกียร์ถอยกินน้ำมันมากสุด ควรค่อยๆถอยไม่ต้องรีบ เกียร์ถอยใช้อัตราทดและแรงฉุดมากกว่าทุกเกียร์
10.ก่อนถึงปลายทางสัก 500 เมตรให้ปิด COM แอร์ลดภาระเครื่อง เป่าลมไล่ความชื้นในตู้แอร์และไล่เชื้อราที่อยู่ในนั้นด้วย
11.เช็คลมยางให้สม่ำเสมอทุกๆ 2 อาทิตย์และเมื่อจะออกเดินทางไปต่างจังหวัด ลมยางอ่อนวิ่งได้ช้า ขอบยางสึกมากอายุการใช้งานสั้น
12.พยายามอย่าใส่ของไว้ในรถเยอะ เพิ่มน้ำหนักรถทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น 20 % ตามระยะทาง

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 20:32:30 »
บทที่2 เทคนิคการดูสัญญาณไฟของรถบรรทุก


1. เปิดซ้ายที ขวาที
สลับกัน หมายความว่าให้ระวัง**
เค้าอาจจะเบรกหรือข้างหน้ามีปัญหา อาจมีด่าน มีอุบัติเหตุ   หรือข้างหน้าเบรกกะทันหัน สรุปก็คือให้ระวังไว้ครับ   อย่าเพิ่งแซงขึ้นไปในตอนนี้ขับตามกันไปก่อน

2. เปิดซ้ายอย่างเดียว
ถ้ากรณีนี้รถวิ่งตามกันอยู่ในทางและเค้าไม่ได้เข้าจอด**
หมายความว่า เค้ายินดีให้เราแซงขึ้นไปได้ครับ   และถ้าหากเป็นเลนสวนแสดงว่าข้างหน้าไม่มีรถสวนให้เราแซงได้โดยปลอดภัยครับ

3. เปิดขวา อาจเปิดค้าง หรือเปิดเป็นจังหวะ *
ถ้ารถวิ่งตามกันอยู่แสดงว่าเค้าไม่ให้เราแซงหรือ   เค้าอาจกำลังจะแซงรถคันหน้าหรือกำลังจะเลี้ยวขวาหรือถ้าเป็นเลนสวน
เค้าบอกว่ากำลังมีรถสวนมาครับเพราะงั้น   หากเห็นเค้าเปิดไฟเลี้ยวขวาห้ามแซงออกไปเด็ดขาดครับ   ให้รอจนกว่าเค้าจะแซงไป หรือ จนกว่าเค้าจะเปิดไฟเลี้ยวซ้ายครับ

4. ในกรณีของการขับรถตามกัน
หากเราแซงขึ้นไปจนพ้น   จะสังเกตได้ว่าเค้าจะทำสองอย่างครับ   อย่างแรกคือในจังหวะที่รถเรากำลังตีคู่กันเค้าจะเปิดไฟสูงให้เราเห็น
ทางข้างหน้าและลดไฟลงต่ำเมื่อเราแซงพ้น   หรือบางคันอาจปิดไฟหน้า หากเป็นตอนกลางคืนนั่นหมายความว่า
เราแซงพ้นแล้ว ให้เข้ามาในเลนได้   แต่ถ้าเป็นกลางวันเค้าจะกระพริบไฟ 1 ทีครับ

หรืออีกอย่าง   เค้าอาจบีบแตรเบาๆเป็นสัญญาณให้ 1 ทีก็ได้ครับ แต่หลักที่นิยมทำกัน   คือเมื่อเค้าเปิดทาง และเราแซงขึ้นไป
เมื่อเราแซงไปในระดับเดียวกับรถเค้าเราจะบีบแตรสั้น 1   ครั้งเป็นการขอบคุณและคุณมักจะได้ยินเค้าบีบตอบสั้น 1 ครั้งเช่นกัน

แล้วถ้าขับสวนกันล่ะ ให้ดูหลายไฟหน่อยนะครับ จะมีไฟหน้า  ไฟเลี้ยวและไฟหัวเก๋งครับ

5. ขับสวนแล้วดับไฟหน้าแล้วเปิด   
ส่วนใหญ่จะมีด่านครับหรืออีกกรณีจะมีอุบัติเหตุร้ายแรงข้างหน้าระวังไว้ครับ

6. กระพริบไฟหน้า
อันนี้ส่วนใหญ่เป็นด่านครับแล้วต้องมองดูดีๆที่ไฟเลี้ยวด้วยครับ   กระพริบไฟหน้าและเปิดไฟเลี้ยวข้างที่ชี้มาทางเรา
ด่านจะอยู่ฝั่งเราครับ  แต่ถ้าเปิดไฟเลี้ยวด้านฝั่งเค้า แสดงว่ามีตำรวจอยู่ฝั่งนู้นครับ   ตอนกลางคืนถ้าเป็นเลนสวนกันขับสวนมาดีๆแล้วกระพริบไฟหน้าครั้งเดียว
บางทีอาจไม่มีอะไรครับ เป็นแค่การทักทาย หรือเป็นการเช็คว่าเราหลับในรึเปล่า   หรือเป็นการถามว่าทางที่เราผ่านมามีอะไร(ตำรวจ) หรือไม่
ถ้าเราไม่หลับไม่เคลิ้ม และทางสะดวกให้กระพริบไฟตอบกลับไป 1 ทีครับ

7. เลนสวนกัน และมีขบวนรถขับสวนขึ้นมา
ให้มองรถลำดับที่ 2 ในแถวไว้ให้ดีนะครับถ้าเรามาคันเดียวโดดยิ่งต้องระวังครับ  หากรถคันที่ 2 หรือคันต่อๆไปในแถวที่สวนมากระพริบไฟหรือ
อาจจะเบ้หัวออกมานิดหนึ่งและกระพริบไฟ   นั่นแสดงว่ารถคันแรกในขบวนช้า เค้ากำลังจะแซงออกมาแล้วครับ
หากเห็นอย่างนั้น ให้มองให้ดี และเตรียมชะลอความเร็ว   ส่วนใหญ่แล้วพอเค้ากระพริบไฟ เค้าก็จะหักหัวออกมาทันทีครับ
เราทำได้อย่างเดียวนะครับ คือค่อยๆชะลอความเร็ว  และเบี่ยงออกไหล่ทาง

*** ไม่ต้องไปต่อกร หรือไปอวดดีเด็ดขาด ***
พวกนี้พอออกมาแล้วไม่กลับแน่นอนครับ   ยิ่งถ้าพอเค้าออกมาปิด-เปิดไฟหน้าตัวใครตัวมันเลยครับ  รับรองได้ว่าไม่หลบแน่นอน
ทีนี้ถ้าคุณคิดว่ารถคุณแข็งกว่าเค้าแน่ๆ ก็ตามสบายครับ

จำไว้ครับรถใหญ่บนทางหลวงเค้าไม่ลงไหล่ทางแน่นอนครับ   เพราะว่ารถมันหนัก ถ้าลงไหล่ มันจะเอาไม่อยู่และพลิกคว่ำทันทีครับ   เพราะงั้นหลบได้ก็หลบเถิด
และอีกอย่างหนึ่งรถใหญ่หนัก เค้าจะไม่ค่อยเบรกกัน   เมื่อเค้าได้รอบได้จังหวะ เค้าจะออกมาทันที เราต้องเป็นฝ่ายหลบนะครับ
จริงอยู่มันอาจดูว่าเค้าผิด แต่หากว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วความผิดหรือถูก   มันก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตหรอกครับ

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 20:53:13 »
บทที่3 สิ่งที่ติดยางควรขจัดออก



   ยางรถยนต์ก็เหมือนกับชิ้นส่วนอื่นของรถยนต์  ที่จะต้องเอาใจใส่เหมือน ๆ กัน  แต่กลับถูกมองข้ามกันไป  ซึ่งเจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้  เวลาทำความสะอาดรถ  จะต้องทำความสะอาดยางอยู่แล้วก็จริงอยู่  แต่สิ่งที่ไม่คำนึงถึงสำหรับเจ้าของรถยนต์นั่นก็คือ  การสังเกตวัสดุที่ติดมากับยาง  แทบจะตลอดอายุการใช้งานของยางเลย หรือ จนกว่าจะทำการเปลี่ยนยางเป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ)  วัสดุที่ติดมากับยางมีมากมายที่สามารถทำให้ยางฉีกขาด ,  ตำทะลุ , อื่น ๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้ยางด้อยประสิทธิภาพ  นอกจากนั้นส่งผลถึงส่วนถึงแรงดันลมยางอีกด้วย  ไม่ว่าจะเป็น ตะปู , เหล็กแหลม , หิน , กิ่งไม้ และอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่ติดอยู่บนยางได้ทั้งสิ้น  หากการขับรถยนต์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าวได้  พอหลังจากขับผ่านพื้นที่ดังกล่าวแล้ว  ควรทำการตรวจสอบยางทุกล้อก็จะดีมาก   การตรวจสอบวัสดุที่ติดมากับยาง  สามารถกระทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก  กล่าวคือ  หากเราต้องการตรวจสอบและแกะวัสดุที่ติดมากับยางออกตามเส้นรอบวงของยาง  ก็ให้จอดรถบนพื้นระดับ  ท่านจะสามารถตรวจสอบได้เกือบทั้งเส้นของยาง  ยกเว้นขอบยางด้านใน  แต่ส่วนใหญ่วัสดุที่ติดอยู่จะอยู่บริเวณดอกยาง  ดังนั้นควรกระทำการ  ดังนี้

1.จอดรถบนพื้นระดับไม่เอียง  จะดึงเบรกมือ หรือ ไม่ดึงแล้วแต่ความสะดวก  หรือแม้กระทั่งเข้าเกียร์จอด(ตำแหน่ง P) สำหรับเกียร์อัตโนมัติ
2.หาเครื่องมือขนาดเหมาะมือ กะทัดรัด  สำหรับแคะเศษวัสดุออกจากยาง
3.ลงมือตรวจสอบด้วยการก้มลงไปดูหน้ายางของล้อแต่ละสื่อ  แล้วแต่ช่องว่างที่สามารถมองเห็นและสอดเครื่องมือและเมื่อได้
4.ให้ทำการปฏิบัติให้ครบทุกล้อ
5.ให้ทำการเข็นรถเพื่อให้หน้ายางไปอยู่อีกตำแหน่งหนึ่งเพื่อตรวจสอบตำแหน่งตำแหน่งต่อไป
6.ทำดังเช่นข้อ 3-5 จนครบตามเส้นรอบวง   การทำลักษณะนี้  จริงอยู่ว่ามีความเมื่อยล้าอยู่บ้าง  แต่การที่มีความเอาใจใส่ในรถยนต์ของตนเองก็มีความภูมิใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย  แลกกับความเหนื่อยหลายท่านอาจจะพอใจ  ลองคิดดูขนาดเราเอารถไปล้างอัดฉีดจากสถานที่ที่บริการ  ยังไม่กระทำตรงจุดนี้ให้เลย(ถูกต้องนะครับ) หากท่านกระทำได้  จะส่งผลดีกับตัวยาง  ได้แก่

- ขณะรถยนต์เคลื่อนที่จะไม่เกิดเสียงดัง
- ยางสามารถรีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดอัดตราการฉีกขาดของยาง
- ข้อนี้ถือว่าสำคัญนั่นคือ  ความปลอดภัย ย่อมมากขึ้นด้วย

   สำหรับวันพักผ่อนที่แสนสบายของเจ้าของรถ  ไหน ๆ ก็ทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายในแล้ว  ขอให้เสียสละเวลากับยางกันสักนิด  โดยที่กระทำตามที่กล่าวมา  ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าทุกท่านทำได้อย่างแน่นอน  แต่ถ้าวัสดุที่ติดมากับยางที่เป็นของเหลว  ให้ทำการล้างออกเสียก่อน  มิฉะนั้น  จะได้รับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์  จากนั้นค่อยกำจัดวัสดุที่ติดมากับยางต่อไปครับ

    อนึ่ง  การปฏิบัติดังกล่าว  สำหรับรถยนต์ที่ยกสูง  สามารถทำการปฏิบัติได้โดยง่าย  แต่สำหรับรถยนต์ที่มีความเตี้ยอาจจะลำบากสักหน่อย  แต่ค่อย ๆ ทำทีละนิด  จนครบนะครับ  ตามเส้นรอบวงและการปฏิบัติตรวจสอบแล้วว่าวัสดุที่ติดตำยาง  เวลาดึงออกแล้วจะทำให้ยางรั้วลักษณะเช่นนี้ไม่ควรทำ  ให้นำรถไปร้านยางจะดีที่สุด  และถ้าหากยางเกิดรั่ว  หลังจากที่ทำการปะยางแล้ว  อย่าลืมบอกให้ร้านปะยางทำการถ่วงยางด้วยนะครับ  มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการควบคุมรถยนต์ และ สมรรถนะในการขับขี่ได้นั่นเองครับ

อ่านเบื่อแล้วจะมาต่อ... :))

jame

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 347
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 20:53:36 »
 ;)

Krisada511

  • คิดว่าดีก็ทำต่อไป
  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 13170
  • 325i M-Sport-N52k
    • http://www.subaruxvthailand.com/
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 21:37:30 »
ขอบคุณมากครับ  ;)
สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว / ขอแนะนำเวปส่วนตัว ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

koobe

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 232
  • มิตรภาพ สำคัญ ยิ่งกว่าเงิน
    • http://www.thailandoffroad.com/jeep/
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 21:51:39 »
เอาอีกพี่อั๋น ชอบๆ ขอบคุณครับ :-X :-X :-X
มิตรภาพ ที่เกิดขึ้น  บนเส้นทาง ธุรกิจ
ย่อมดีกว่า
ธุรกิจ     ที่เกิดขึ้น บนเส้นทาง มิตรภาพ

tong

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 89
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 22:19:14 »
 ;) ;) มีข้อมูลที่มีประโยชน์มาแนะนำ พี่ๆ น้องๆ ในกลุ่มตลอดเลยนะพี่ ;) ;) ยกนิ้วให้เลย

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 22:51:20 »
บททีี4 แนะนำให้เติมลมยางด้วยไนโตรเจน

1.ช่วยประหยัดน้ำมัน   
     จากการพิสูจน์ในอเมริกา รถที่เติมลมด้วยไนโตรเจน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจะลดลง โดยจำนวนระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 แกลอน จะสูงขึ้น 1 ถึง 1.5 ไมล์ เพราะอุณหภูมิของล้อที่ลดลง เมื่อใช้ลมยางไนโตรเจน จะช่วยลดแรงเสียดทานในการหมุนของยาง จึงช่วยประหยัดน้ำมัน

2.ปลอดภัยยิ่งขึ้น
     ทำให้อุบิตเหตุที่มีสาเหตุจากยางลดลง เพราะไนโตรเจนจะช่วยรักษาอุณหภูมิของยางอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ความดันภายในลมยางขายตัวได้น้อย จึงช่วยรถอุบัติเหตุจากการระเบิดของยางที่เกิดจากความร้อน

3.ไม่ต้องตรวจเช็คลมยางบ่อย
     เพราะไนโตรเจนมีอะตอมขนาดใหญ่กว่า ออกซิเจนมาก ทำให้ซึมเข้าออกเนื้อยางได้ยากกว่าออกซิเจน ดังนั้นลมยางจึงไม่ค่อยลดลง

4.ช่วยยืดอายุยาง 
     มีผลมากกับยางที่ใช้น้อยแต่ใช้มาเป็นเวลานานๆ  เพราะการเติมลมยางปกติ ที่มีออกซิเจนผสมอยู่มากจะเข้าไปทำปฎิกิริยากับเคมีในเนื้อยาง ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าไนโตรเจน นอกจากนี้การที่อุณหภูมิร้อนน้อยกว่าทำให้ยากสึกหรอน้อยกว่าอีกด้วย

 

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 22:58:35 »
บทที่5 เรื่องของยางกับหน้าฝน
   
             เข้าหน้าฝน ผู้ใช้รถหลายๆ คน อาจปวดหัวกับปัญหา "รถลื่นไถล" ซึ่งเป็นปัญหา ที่มักจะเกิดขึ้นบนท้องถนน ในช่วงฤดูนี้ของทุกๆ ปี ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว ย่อมนำมา ซึ่งความเสียหาย และบางครั้ง ก็ไม่เพียงก่อให้เกิดความสูญเสีย ในทรัพย์สิน และชีวิตของผู้ขับขี่รถยนต์ คันดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังอาจก่อให้เกิดผลร้าย ต่อเพื่อนร่วมท้องถนน อีกหลายร้อยชีวิตอีกด้วย
   
   หลายคนอาจบอกว่าตนพยายามขับรถอย่างระมัดระวังในระดับหนึ่งแล้ว แต่เหตุที่เกิดเป็นเพราะถนนลื่น ทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ ซึ่งเมื่อเราดูถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาให้ละเอียดลงไป จะพบว่าการลื่นไถลของรถยนต์ไม่ใช่ว่าเป็นเพียงเพราะน้ำฝนที่เจิ่งถนนเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะสิ่งสกปรกบนท้องถนนอีกหลายๆ อย่าง เช่น น้ำมัน เนื่องจากว่าน้ำมันมีคุณสมบัติเป็นตัวลดแรงเสียดทาน ทำให้แรงเสียดทานระหว่างพื้นถนนกับยาง ลดลง ปัญหาน้ำขัง และสิ่งสกปรกบนท้องถนนดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยภายนอกที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นหนทางป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การค้นหาสิ่งที่เราพอจะทำได้ เพื่อลดโอกาสของการเกิดอุบัติเหตุข้างต้นให้ได้ผลมากที่สุด ซึ่งก็พอจะช่วยให้การเดินทางในช่วงหน้าฝนนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และปลอดภัย และสิ่งสำคัญที่ว่าอย่างหนึ่งก็คือ "ยางรถยนต์" อุปกรณ์สำคัญที่ผู้ขับขี่ไม่ควรมองข้าม และควรจะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพการใช้งานและลักษณะของตัวรถ ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นว่าบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์พยายามออกแบบยางให้มีลวดลายที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้เลือกใช้ตามสภาพการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสำหรับการขับขี่ความเร็วสูง เส้นทางโค้ง หรือว่าต้องลุยน้ำบ่อยครั้ง และต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝนนี้

   ซัมเมอร์ ไทร์ (Summer Tyres) ยางประเภทนี้ มีคุณสมบัติเด่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่และการเบรกทั้งในสภาพถนนที่แห้งและเปียก พื้นยางอยู่ในรูปแบบ บล็อก-เชป (Block-shape) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนน โดยการเพิ่มความฝืดระหว่างผิวสัมผัสของยางรถยนต์และพื้นถนน


   บล็อก-เชป ประกอบด้วยลวดลายสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตัดกับร่องทางด้านข้างซ้าย-ขวา เพื่อเพิ่มความฝืด ทำให้การควบคุมพวงมาลัยขณะที่ขับผ่านบริเวณถนนเปียกเป็นไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวให้แก่รถ ไม่เกิดการไถล โดยดอกยางจะทำการไล่น้ำไปในตัว   อย่างไรก็ตาม การที่พื้นยางประเภทนี้ถูกแบ่งเป็นช่องเล็กๆ จะส่งผลให้ยางมีน้ำหนักมากกว่ายางทั่วไปเล็กน้อย แต่ว่ายางประเภทนี้ก็สามารถใช้กับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วไปได้เป็นอย่างดี


   แอซซิมเมทริค แพทเทิร์น (Asymmetric pattern) เป็นยางที่อาจดูแปลกตากว่าลายอื่น เนื่องจากหน้ายางซ้าย-ขวา มีลวดลายที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการออกแบบดังกล่าว ต้องการให้สามารถทำหน้าที่ทั้งการเพิ่มแรงเสียดทาน ทำให้ประสิทธิภาพในการเกาะถนนในพื้นที่ปกติได้ผลดี และเมื่อต้องลุยน้ำก็จะสามารถรีดน้ำได้ดีเช่นกัน ยางประเภทนี้จึงเหมาะกับรถที่มีใช้งานในเส้นทางที่มีโค้งมากๆ และผู้ขับขี่ใช้ความเร็วสูง เนื่องจากตัวยางมีพื้นที่สัมผัสถนนมาก แอซซิมเมทริค แพทเทิร์น เป็นยางที่ได้รับความนิยมกับรถประเภทสมรรถนะสูงๆ


   ไดเร็กชั่นแนล แพทเทิร์น (Directional pattern) หน้ายางจะเป็นร่องยาวขนานกันไปซ้าย-ขวา ซึ่งการที่มีรูปแบบของร่องยางขนานกัน ไม่เพียงแต่จะช่วยในส่วนของการเพิ่มกำลังขับเคลื่อนและเบรก แต่ยังถือว่ามีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการรีดน้ำ ทำให้รถสามารถทรงตัวได้เป็นอย่างดีในกรณีที่มีน้ำขัง ซึ่งยางชนิดนี้เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงโดยเฉพาะ  แต่สำหรับผู้ขับขี่บางท่านที่เห็นว่าการเปลี่ยนยางรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละฤดูนั้นอาจดูเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือย


   เนื่องจากประเทศไทยมีถึง 3 ฤดู การหันมาใช้ยางรถยนต์ที่เหมาะกับสภาพถนนในทุกฤดู (All-season Tyres) ก็อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะมีการออกแบบมาให้สามารถใช้งานตลอดทั้งปี แต่ว่าในแต่ละความสามารถก็อาจจะสู้ยางที่ออกแบบมาโดยเฉพาะไม่ได้ นอกจากนั้นข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือการมีเสียงรบกวนมากกว่ายางชนิดอื่น  ซึ่งหากท่านเจ้าของรถเลือกยางได้อย่างเหมาะสม บวกกับการดูแลเอาใจใส่รถเป็นอย่างดีในทุกรายละเอียด ก็เชื่อว่าหน้าฝนปีนี้ ทุกคนจะมีความสุขกับการเดินทางไม่ว่าจะเป็นฝนพรำ หรือกระหน่ำหนักก็ตาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 28, 2013, 23:14:03 โดย วีรวิชญ์ »

Pitch win

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 1729
  • คิดดี ทำดี ให้ถึงที่สุด
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 23:20:11 »
 ;) ;) ;) :-* :-* :-*

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 23:31:01 »
บทที่6 ความไว้วางใจในระบบเกียร์ออโต้(AT)

1. ควรเปลี่ยนถ่าย ATF ให้ได้อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
    (E46 ใช้ Dexron III , ATF LT 71141 )

แม้ตามกำหนดที่โรงงานได้กำหนดไว้ในสมุดคู่มือ All Time แต่เมืองไทยเมืองร้อนส่วนใหญ่กำหนดไว้แบบรถญี่ปุ่นคือ 40,000-45,000 km หรือราว 2-2 1/2 ปี ก็อย่าได้วางใจตามนั้น ด้วยว่าการจราจรของกรุงเทพฯ เรา ติดๆ ขัดๆ ความร้อนสะสมสูงเกือบตลอดการใช้งาน เดี๋ยว ON Gear หรือ OFF Gear อยู่โดยตลอดทั้งวัน นานๆ ทีถึงได้มีโอกาสยืดเส้นยืดสายออกทางไกลหรือขึ้นทางด่วนวันหยุดกับเขาหน่อยนึง

ความร้อนสะสมจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูง และการใช้งานวิ่งๆ หยุดๆ ทำให้แรงดันน้ำมัน ATF สูง-ต่ำไม่คงที่ อุณหภูมิมักสูงตลอดเวลาจากแรงดันที่สูงๆ ต่ำๆ ดังนั้นการให้โอกาส AT (เกียร์ออโตเมติก) ได้ดื่มด่ำกับ ATF ใหม่ๆ สดๆ จึงเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราปฏิบัติได้ไม่ยากครับ อย่าถือว่าสิ้นเปลืองเลยนะ

2. ไม่ควรโยกตำแหน่งเกียร์บ่อย

ควรให้โอกาสมันได้ทำ "หน้าที่อัตโนมัติ" ด้วยตัวของมันเองมากๆ หน่อย เพราะมันถูกออกแบบให้ทำงานตามลำดับขั้นตอนโดยใช้ความเร็วเป็นตัวกำหนดจังหวะการเปลี่ยนเกียร์อยู่แล้วเป็นปกติวิสัย

มีเจ้าของรถบางท่านที่เชื่อคำโฆษณาว่าเกียร์ออโต้สมัยใหม่สามารถโยกเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ก็เลยเอานิสัยเดิมที่เคยใช้รถเกียร์ธรรมดามาใช้กับ AT คือเชนจ์ขึ้น-ลง ปรากฏว่า อายุเกียร์ไม่ข้ามปีที่ 2 หรือไม่เกิน 40,000 กม. ด้วยซ้ำครับ พัง! สาเหตุก็มาจากการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ทั้งวันจนเป็นนิสัย ชิ้นส่วนภายในเครียดตลอดเวลา ความร้อนสูงจากแรงดัน ATF ที่สูงเกินไป ทำให้สึกหรอสูง จนแรงดัน ATF ไม่คงที่ ทุกอย่างพังหมดครับ และพังอย่างเร็วซะด้วยครับ!

บางท่านที่ไม่มากประสบการณ์ก็อาจเผลอกด Overdrive (เกียร์สำหรับลดรอบเครื่องยนต์) ไว้ทั้งวัน โดยมิได้สังเกตอาการก็มีครับ

3. ยุคหนึ่งเชื่อกันว่า ถ้าติดไฟแดงก็ควร "พักเกียร์"

ใช่ครับ คือเต็มใจปลดเกียร์เป็น N ทุกครั้งที่ติดไฟแดง โดยหวังว่าจะช่วยเป็นการพักเกียร์! แต่ความจริงกลับไม่ต้องทำเช่นนั้น

การใช้งาน AT ให้ยืนนาน ควรเข้าใจว่าทุกครั้งที่เรา "OFF Gear" น้ำมัน ATF จะหยุดแรงดันของมันทันทีครับ จำ "หลุมฉิ่ง" Orifice Valve ที่มีลูกปืนเม็ดเล็กๆ ทนๆ กลิ้งอุดและเปิดวาล์ว ATF ได้ไหมครับ ยามใดที่ ON Gear ลูกปืนในหลุมฉิ่งเหล่านี้จะเปิดให้ ATF ผ่านด้วยแรงดันน้ำมัน ATF ที่อัดอยู่เต็ม VB ( Valve body สมองเกียร์) เพื่อ hold ตำแหน่งเกียร์ D อยู่

แต่หากเราเข้าตำแหน่ง N เจ้า ATF ก็หยุดเดิน และไม่ "Standby" ลูกปืนเปิด-ปิด Orifice Valve ก็ปิดตัวลงนอนแอ้งแม้งใน "หลุมฉิ่ง" พอเราเข้าเกียร์ D เพื่อออกตัวในจังหวะไฟเขียว ...เท่านั้นละครับ ATF มันก็แย่งกันสูบฉีดด้วยแรงดันให้ไหลวกวนใน VB สมองเกียร์ จงคิดเอาเถิดครับว่า วันหนึ่งๆ หรือครั้งหนึ่งที่คุณได้ทำเช่นนี้ แรงดัน ATF มันจะขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ไม่ Constant สักที ของเหลว (ATF) เมื่อเคลื่อนตัวไหลไป-มาด้วยแรงดันบ่อยๆ ความร้อนก็ไม่คลายแต่กลับเพิ่มขึ้นๆ สี่แยกแล้วสี่แยกเล่า หยุดแล้วหยุดเล่า Orifice Valve ต้องทำงานตลอดเวลา เดี๋ยวไหลเดี๋ยวหยุดกะปริบกะปรอย มันจะทนไหวหรือครับ ต่อไปนี้ให้ทำอย่างนี้ครับ

หากหยุดในชั่วแค่ 2-3 นาที ก็ควร "Hold D" เอาไว้ โดยเหยียบแป้นเบรกแทน แต่หากหยุดนานเกินกว่านี้ค่อยเข้า OFF Gear เป็น N อย่างน้อยก็ช่วยยืดอายุเกียร์ได้อีกโขเลยละครับ ด้วยวิธีง่ายๆนี้ จำไว้ต่อไปนี้หยุดแป๊บเดียวไม่ต้องปลดเกียร์

4. อย่าปลดให้เป็น N (ว่าง) เพื่อให้รถไหล เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันก่อนหยุดไฟแดง

วิธีช่วยประหยัดน้ำมันเช่นนี้ไม่ดีแน่ แม้จะดีบ้างกับความประหยัดเชื้อเพลิงลิตรละ 10-15 บาท แต่เกียร์ออโต้มันไม่ชอบ ควรปล่อยให้มัน ON Gear ไปจนถึงไฟแดงดีกว่าครับ แล้วแตะเบรกหยุดมันจะทนกว่ามากเลยครับ อีกอย่าง ความประหยัดเชื้อเพลิงด้วยวิธีไหลในตำแหน่ง N ก็ช่วยประหยัดแค่ 2-3% เท่านั้นเอง พูดถึงค่าซ่อมเกียร์ราว 2-3 หมื่น จะคุ้มหรือครับ!?

5. การ Take Off แบบในหนัง คือออกรถให้ล้อเอี๊ยดโชว์นั่นน่ะ อย่าทำเป็นอันขาด

สิ่งที่จะพังเร็วคือ FP (Friction Plate) ที่เรียงเป็นตับอยู่ในเรือนเกียร์ไงครับ มันจะสึกจากความร้อนที่เสียดสีฉับพลัน น้ำมัน ATF ก็ร้อนสูง (ฮีต) บ่อยๆ เข้า เจ้า FP ซึ่งหนาแค่ 2-3 มิลลิเมตร ก็ไหม้ได้ครับ นึกถึงภาพเบิ้ลคันเร่ง บรื้นๆๆ... ในขณะที่ AT อยู่ในตำแหน่ง N วัดรอบขึ้นไปตั้ง 3,000-5,000 rpm แล้วโยกมาที่ N ทันที "จ๊ากโชว์" ได้แน่ครับ แต่ตับไตไส้พุงของ AT มันจะพังคาที่ ในการทำเช่นนี้ไม่ถึง 10 ที ลำพังเจ้าของแบบเราๆ คงไม่ทำเช่นนี้ แต่กล่าวเผื่อไว้สำหรับวัยรุ่นรถซิ่งนะครับ แอบเอารถคุณพ่อคุณแม่ หรือเด็กอู่บางคนแอบเอารถลูกค้าไปซิ่งเล่น ปรากฏว่าพังครับ พังชั่วไม่ข้ามคืนนี้แหละครับ
ฉะนั้น อย่า Take Off เพื่อ Show Off เป็นอันขาดครับ!

6. ขณะลากจูง หรือใช้ระบบ "Fly in Four" หรือ "Shift on the Fly" ควรศึกษาคู่มือให้ดี

ก่อนอื่นให้ทราบจากผู้ขาย หรือคำโฆษณา หรือคู่มือประจำรถก่อนว่าเขากำหนดความเร็วในการเล่นฟังก์ชันไว้เท่าใด

ในเกียร์ AT ยุคก่อน ในกรณีต้องลากจูงรถ เขาจะกำหนดความเร็วมักไม่เกิน 40 กม./ชม. ซึ่งเร็วแค่นี้จะไม่เป็นการทำลายเกียร์ ในรถรุ่นใหม่ เกียร์ CPU อาจลากได้เร็วขึ้นถึง 60-80 กม./ชม. แต่หากไม่แน่ใจ ควรลากไปเรื่อยๆ ที่ความเร็ว 40-50 กม./ชม. แค่นี้ดีมากครับ ไม่ว่าเกียร์ออโต้ของเราจะเป็นยุคไหนๆ ปลอดภัย ถนอมมันเอาไว้ก่อนจะดีกว่าครับ

ส่วนรถ OFF Road 4x4 (นอกประเด็น)ประดามีที่โฆษณากันว่าเปลี่ยนเป็นขับ 4 ล้อได้ ในขณะที่วิ่งเร็วๆ เราเจ้าของรถก็ควรเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า ในคู่มือกำหนดไว้เช่นไร ที่ความเร็วไม่เกินเท่าไร ก็สมควรปฏิบัติตามนั้นครับ

ฟังก์ชันเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก 2 ล้อ มาเป็น 4 ล้อ ขณะรถวิ่งถูกเรียกว่า "Fly in Four" หรือ "Shift on the Fly" จะกำหนดไว้เฉพาะการขับเคลื่อนจาก 2H มาเป็น 4H หรือจากขับเคลื่อนปกติ 2 High เป็น 4 High เท่านั้น ความเร็วที่โฆษณาไว้ก็แถวๆ 60-80 กม./ชม. ไม่ถึง 100 กม./ชม. เพราะอัตราทดเกียร์ของแต่ละยี่ห้อที่โฆษณา รวมถึงเส้นรอบวงจากขนาดของวงล้อก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงและถูกหลงลืม ดังนั้นควร "เมคชัวร์" ในการ Shift on the Fly หรือเปลี่ยนเกียร์จาก 2H มาเป็น 4H ด้วยการใช้ความเร็วต่ำๆ เข้าไว้จะชัวร์กว่า อย่าเปลี่ยนที่ความเร็วระดับ 100 เลยครับ เขาโฆษณาว่าทำได้จริงอยู่ แต่จะทำได้แค่ไหน หรืออายุเกียร์ AT จะทนในอายุการใช้งานเท่าใด เราผู้เป็นเจ้าของรถเท่านั้นที่รับผิดชอบ

หากทำอะไรในความเร็วที่เกินเลยไป บางทีรถอาจพลิกคว่ำในความเร็วขณะที่เปลี่ยน 2H เป็น 4H หรือไม่ก็เกียร์ AT อาจพังเร็วขึ้น

ที่แน่ๆ หากจะใช้ Shift on the Fly (เปลี่ยนจาก 2H เป็น 4H) ขณะรถวิ่ง ควรให้ตำแหน่งเกียร์อยู่ที่ D (อย่าไปที่ D อื่นๆ) และความเร็วแถวๆ 40-50 กม./ชม. ก็จะดี อย่าเชื่อโฆษณาอย่างเดียว ควรใช้หลักความจริงของเกียร์ AT เข้าไว้ครับ

7. ไม่ควรใส่อะไรผสมลงไปใน ATF ..หัวเชื้อน้ำมันเกียร์ AT ?!

เพราะเกียร์ AT ต่างกับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด (Manaul 5 Speed) ที่เราเคยใช้ เจ้าอย่างหลังนี่มีหัวเชื้อดีๆ (Additive Fluid) ก็จะช่วยให้ชุดเกียร์หมุนลื่น หมุนเงียบขึ้น แน่นอนครับ เกียร์ธรรมดาถ้าหมุนคล่อง ลื่นดี เกียร์เข้าง่าย เชนจ์เกียร์ได้ฉับไว ขับได้สนุก

แต่เกียร์ AT มันไม่สนครับ เพราะ FP Friction Plate ทำหน้าที่ตามชื่อของมันอยู่แล้ว ความลื่นเหลือล้นในน้ำมัน ATF จึงห้ามเด็ดขาด ควรยืนยันใช้เบอร์เดียว มาตรฐานเดียวกับที่สมุดคู่มือประจำรถกำหนดไว้เท่านั้น อย่างยิ่ง หรือหย่อนจากที่กำหนดในคู่มือโดยเด็ดขาด


8. ก่อนเข้า D ควรเหยียบแป้นเบรกไว้ก่อนหรือไม่?

ก็ได้ครับ จะเหยียบก็ได้ หรือไม่ต้องก็ได้ ในกรณีที่เหยียบแป้นเบรกไว้ก็เพื่อไม่ให้รถกระตุกในขณะที่เข้า D เท่านั้นเอง หากเป็นรถเก่า เกียร์รุ่นเก่าๆ เวลา On gear จะกระตุกจนตกใจ ก็ควรเหยียบแป้นเบรกให้เป็นนิสัยก่อนเข้า D เพราะเกียร์ AT รุ่นเก่าจะกระตุกมากจนน่ารำคาญ รวมไปถึงเกียร์ AT ที่มีอายุการใช้งานมานมนานหลายปีอาจมีอาการสึกหรอให้เห็นชัดด้วยอาการกระตุกอย่างแรงน่ารำคาญ การเหยียบแป้นเบรกเพื่อช่วย On gear ด้วยความนุ่มนวลไว้ก่อนเข้า D ก็เป็นสิ่งที่น่าทำ ส่วนจำเป็นมากน้อยอย่างไรก็แล้วแต่กรณีครับ แต่ผมเหยียบแป้นเบรกจนเป็นนิสัยก็ไม่ลำบากแต่อย่างใดครับ

9. หมั่นสังเกตอาการกระตุกของ AT

ยามใดที่เรารู้สึกว่าเกียร์ AT ที่เราใช้อยู่ทุกวันมันเกิดกระตุกยิ่งกว่าเดิม อย่าวางใจนะครับ ควรพบช่างเพื่อปรับตั้ง "Vacuum Control : VC" ทันที อย่าแกล้งเมิน บางทีอาการกระตุกของ AT จะหายได้ง่ายๆ ด้วยการปรับตั้ง VC เท่านั้นเอง แป๊บเดียวก็เสร็จ

แต่ถ้าหาก VC ถูกใช้มานานหลายปีดีดักแล้วละก็ สมควรสั่งอะไหล่มาเปลี่ยนใหม่ครับ ไม่ควรซ่อม เพราะชื่อมันก็บอกครับว่าเป็น Vacuum ซึ่งความหมายก็คือ มันทำงานด้วยสุญญากาศเท่านั้น เสียแล้ว เสื่อมแล้ว รั่วแล้วซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนยกชุดของแท้ครับ

แต่หากเปลี่ยน VC ใหม่ยกชุดแล้ว ยังมีอาการ คราวนี้ก็ควรล้างสมองเกียร์ VB ด้วยน้ำยา Flush & Fill สักที หากไม่ปล่อยให้อาการนี้เกิดขึ้นนานจนลำบากยุ่งยากละก็ แค่ล้างด้วยน้ำมัน Flush & Fill เดี๋ยวเดียว ชุด VB สมองเกียร์ ก็สะอาดเอี่ยมอีกครั้ง ไม่กระตุกอีกต่อไปชั่วระยะเวลาอีกนานปี

10. หลังจากสตาร์ทรถเกียร์ AT แล้ว อย่าผละออกจากรถไปที่อื่น !

บางครั้งเจ้าของรถอาจเผลอเข้าตำแหน่ง D เอาไว้โดยไม่รู้ตัว ลำพังเมื่อเปิด แอร์ เอาไว้ เจ้าอุปกรณ์ Idle UP Speed หรือเรียกกันว่า "Vacuum Air" อาจตัดเอาดื้อๆ เพราะอุณหภูมิความเย็นหนาวของแอร์แต่ละเวลา เย็นเร็วเย็นช้าไม่เท่ากัน ที่ตำแหน่งเกียร์ D บางครั้งเมื่อมีโหลดแอร์ รถเราถูกโหลดด้วยการเปิดแอร์ รถก็อาจจะหยุดนิ่งได้ แต่พอ Vacuum Air ตัด เครื่องยนต์ก็ปลดโหลดแอร์ไปอีกหน่อย รอบเครื่องยนต์เร่งขึ้นเอง ราว 500-700 rpm ก็อาจจะส่งผลโดยตรงให้เกียร์ ON D ทันที รถอาจวิ่งออกไปได้ดื้อๆ

หรือบางทีโรงจอดรถเป็นเนินลาดขึ้น พอ Vacuum Air ตัด รอบก็เร่ง 500-700 rpm อาจจะทำให้รถวิ่งเองได้ด้วยเกียร์ D ที่เผลอเข้าเอาไว้ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็มักเป็นเรื่องพาดหัวหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ ครับ ผมเคยโดนกับตัวคือ เผลอ ON D เอาไว้ แล้วรถมันวิ่งไปเอง! เร็วเสียด้วยครับ ในระดับความเร็วสัก 15 กม./ชม. ปีนฟุตบาทชนรั้วข้างบ้านเฉยเลยครับ

หวังว่าคงอ่านกันจนเบื่อนะครับ ข้อมูลส่วนใหญ่ก็หามาแชร์ให้เห็นว่ามีประโยชน์ ผิดถูกประการใดข้ออภัย ณ ที่นี้  :-X
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 29, 2013, 20:00:13 โดย วีรวิชญ์ »

superking

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 1085
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 00:28:32 »
ขอบคุณครับ  :-X :-X

nutwandang

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 424
  • แต่งรถด้วยเงินเก็บ
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 00:37:05 »
ความรู้แน่นเลยครับ :-X
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอินE46, 323ise, 2001, M52 :D        

green tea

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 705
  • E46 M54 330IA
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 00:54:57 »
 :-[ :-[ขอบคุณครับพี่อั๋น

Mark46

  • มือใหม่หัดขับ
  • *
  • กระทู้: 4
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 01:41:39 »
 ;) ;)ขอบคุณพี่ๆสำหรับเกร็ดความรู้ด้วยความ จะจดจำและนำไปใช้คับผม  :-X

champ aroha

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 264
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 04:08:28 »
สุดยอดครับ...ขอบคุณมากๆครับสำหรับความรู้ :-X ว่าแต่ไอ้เจ้า  "Vacuum Control : VC" ของเกียร์เรานี้ซ่อมได้ที่ไหนหรอคับ ใครซ่อมได้มั้งครับ รู้สึกเริ่มกระตุกเวลาเปลื่ยนเกียร์มานานล่ะ  :-\

Chris

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 2784
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 06:36:29 »
ขอบคุณมากๆครับสำหรับความรู้ :-X
Born to be a Bimmer lover
I'm a E46 addict!
''อคติ คือสิ่งที่คนโง่ใช้แทนเหตุผล''

tom46

  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 17011
  • M52TUB30 SCHRICK CAM
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 08:12:56 »
ขอบคุณครับ


M52TUB24 NA TUNING
STROKER M54B30
SCHRICK CAM 248/248
aa tuning software custom
K&N performance air intake kit
Exhaust systems thailand hand made
Rear exhaust EISENMANN

num2012

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 8402
  • ทำดี คิดดี ......ทำต่อไป
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 08:38:11 »
ตาลาย55555 ต้องต้มผสมน้ำดื่ม O0 O0 O0
เก่า แต่ไม่แก่นะ

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 09:21:34 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
สุดยอดครับ...ขอบคุณมากๆครับสำหรับความรู้ :-X ว่าแต่ไอ้เจ้า  "Vacuum Control : VC" ของเกียร์เรานี้ซ่อมได้ที่ไหนหรอคับ ใครซ่อมได้มั้งครับ รู้สึกเริ่มกระตุกเวลาเปลื่ยนเกียร์มานานล่ะ  :-\

เข้าเกียร์ D กระตุกนิดหน่อย,เข้าเกียร์ถอย (R) กระตุกมากกว่า เกียร์ปกติ ถ้าผิดปกติกว่านี้ลองเช็คดูก่อนครับ
- ใกล้พุทธมณฑลสายสี่ พี่สุเมธ
- ใกล้ลาดพร้าว ช่างแอ๊ด ลาดพร้าว 71
- ใกล้พระรามเก้า อู่พรหมประสิทธิ์ พระราม9

giga

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 168
  • The Ultimate Driving Machine
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 10:35:30 »
 ;) ;) ;)

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 12:10:11 »
เอาไปอีก... :))


บททีี7 การเปลี่ยนขนาดล้อและยาง

        รถยนต์ e46 ที่ออกจากโรงงานผลิต  ทางผู้ผลิตคำนวณแล้วว่าจำเป็นจะต้องมีอะไรอยู่ในรถยนต์คันนั้นๆบ้าง  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ  หากท่านผู้อ่านทุกท่านมีเหตุที่จะปรับปรุงรถยนต์ของท่านขอให้คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้บ้าง  และในโอกาสนี้จะกล่าวถึง  การเปลี่ยนล้อรถยนต์.
        ในการเปลี่ยนล้อรถยนต์ให้ผิดไปจากโรงงานประกอบ  ท่านเจ้าของรถยนต์ส่วนมากจะกระทำเพราะอันแรกก็เพื่อความสวยงามอีกอันหนึ่งก็เพื่อเพิ่มสมรรถนะของการขับขี่  ในการเปลี่ยนขนาดล้อรถยนต์ที่ผิดแปลกไปจากเดิมจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย  และการที่เปลี่ยนขนาดล้อส่วนมากหรือเกือบทั้งหมดจะเปลี่ยนให้มีขนาดที่เพิ่มขึ้น  ไม่ว่าจาก 16 นิ้ว เป็น 17 นิ้ว …จาก 17 นิ้ว เป็น 18 นิ้ว ... หรือจาก 18 นิ้ว เป็น 19 นิ้ว เป็นต้น

        ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่อาจยังไม่ทราบกันว่า   การเปลี่ยนขนาดเพิ่มขึ้นย่อมกินเชื้อเพลิงมากขึ้นแต่ก็ใด้สมรรถนะที่แตกต่างเช่นกันและตัวอย่างที่จะกล่าวถึงนี้เป็นตัวอย่างการเพิ่มขนาดซึ่งส่วนใหญ่นิยมกระทำกัน   ดังนี้
      สมมุติว่า จาก ล้อ 16 นิ้ว เป็น 18 นิ้ว จากยางขนาด 205/55R16 แล้วเปลี่ยนป็น ล้อ 18 นิ้ว และใช้ยางขนาด 235/40R18  จะเห็นใด้ว่ามีการเปลี่ยนอย่างชัดเจน  ดังนั้นสิ่งที่ตามมาได้แก่

1.ความเร็วของรถยนต์จะไม่ตรงกับความเป็นจริง
2.มีเสียงดังเข้าห้องโดยสารจากการสัมผัสของยางกับพื้นถนน
3.ในการหักเลี้ยวของพวงมาลัยอาจจะมีการเสียดสีกับซุ้มล้อและตัวถัง
4.หากมีการยุบตัวในแนวดิ่งบวกกับช่วงล่างเดิมๆโอกาศโดนซุ้มล้อมีมากขึ้นตามลำดับ
5.หากยางเสื่อมสภาพแล้วมีการเปลี่ยนจะมีราคาที่สูงกว่าเดิม
6.หากกระทะล้อมีความเสียหายอาจจะหายากถ้าลายนั้นหายากหรือไม่เป็นที่นิยม
7.ในรถยนต์ที่มีระบบ GPS หรือระบบนำทางจะต้องมีการตั้งค่าใหม่
8.ช่วงล่างจะต้องมีการปรับปรุงเพื่อให้รองรับกับขนาดล้อยางที่เปลี่ยนไป
9.หากมีการเปลี่ยนน๊อตล้อพร้อมกับล้อแม็กในบางครั้งขนาดไม่เท่ากันจำเป็นอย่างยิ่งที่สำหรับเครื่องมือ โดยเฉพาะชุดเครื่องมือในกล่องติดรถควรจะมีครบโดยเฉพาะหัวต่อน็อตล้อนิรภัย ก็เท่ากับว่าต้องมีไว้นั่นเอง
 
        ข้อ 9 นี้ถือว่าสำคัญมากเพราะหากมีการยางแตกของรถยนต์เกิดขึ้น  ซึ่งก็มีโอกาศเป็นไปใด้เกิดขึ้นกับทุกคนดังเช่นใด้ยินจากข่าวสารของการจราจรที่ขอความช่วยเหลือในเรื่องของรถยนต์ยางแตกที่มีให้เห็นเป็นประจำทุกวัน  ซึ่งมีเครื่องมือแต่ไม่มียางอะไหล่  หรือ มียางอะไหล่แต่ไม่มีเครื่องมือถอดล้อ แล้วก็เป็นไปได้ว่ามีการเปลี่ยนล้อมานั่นเอง  ดังนั้น  สิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่ต้องบอกนะครับว่าจะโทษใคร? หากท่านผู้อ่านท่านใดมีการเปลี่ยนล้อมาอย่าลืมถามหาเครื่องมือกับผู้ขายกันด้วยนะครับ  อีกกรณีหนึ่งถึงแม้มิได้เปลี่ยนยางเองก็ต้องมีไว้หากมีใครมาให้ความช่วยเหลือก็จะใด้มีใช้ทันต่อเหตุการณ์นะครับ

T.Tankittiphob

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2682
  • 330Ci/M54+LPG
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 12:24:21 »
ลุงอั๋น ตัวจริงก็หล่อ(ตอนพิมพ์เอานิ้วไขว้กันอยู่)
รูปโปรไฟล์ หล่อเว่อร์
แต่พอมาให้ข้อมูลนี่ดิ หล่อสุดๆ(ที่ใจนะครับ)
 ;) ;) ;)
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

Suwet_e46

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 17
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 16:28:27 »
มีประโยชน์มาก  ขอบคุณครับ

num2012

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 8402
  • ทำดี คิดดี ......ทำต่อไป
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 16:29:57 »
คราวหน้าถ่ายเป้นคลิปแล้วนั่งบรรยายดีกว่า สงสาร นั่งพิมพ์มืองิก >:D >:D
เก่า แต่ไม่แก่นะ

OaTt

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 1530
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 17:04:25 »
ยาวมาก แต่ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆครับ

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 19:18:51 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
ยาวมาก แต่ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆครับ

ยังมียาวกว่านี้ กลัวเบื่อจะอ่าน  ^-^  :)) :)) :))

tom46

  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 17011
  • M52TUB30 SCHRICK CAM
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 23:16:38 »
ขออนุญาตเพิ่มเติม สูตรคำนวณเส้นรอบวง ของล้อที่ผมชอบเอามาคิดเล่นๆดูครับ (ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยครับ)

ขนาดหน้ายาง / 100 x ขนาดแก้มยาง x 2 / 25.4 + ขนาดขอบล้อ = เส้นรอบวงครับ


M52TUB24 NA TUNING
STROKER M54B30
SCHRICK CAM 248/248
aa tuning software custom
K&N performance air intake kit
Exhaust systems thailand hand made
Rear exhaust EISENMANN

คนขายเนื้อ

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 1836
  • มีแล้วไม่ได้ใช้ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2013, 00:54:05 »
 :-X :-X :-X         


ขอความรู้เรื่องอ่างด้วยครับพี่ :)) :)) :))
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: @@@ เกร็ดความรู้น้อยนิดมหาศาล@@@
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2013, 12:07:31 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
ขออนุญาตเพิ่มเติม สูตรคำนวณเส้นรอบวง ของล้อที่ผมชอบเอามาคิดเล่นๆดูครับ (ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยครับ)

ขนาดหน้ายาง / 100 x ขนาดแก้มยาง x 2 / 25.4 + ขนาดขอบล้อ = เส้นรอบวงครับ

 ;):-X :-X

ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
:-X :-X :-X         


ขอความรู้เรื่องอ่างด้วยครับพี่ :)) :)) :))

อ่างใหญ่ๆ ย่านวัดโพธิ์ต้องถามคุณหนุ่ม อ่างเล็กกระทัดรัด ว่ายกันทั้งคืนก็ย่านถนนเพชรบุรี แต่แนะนำพี่เขตใช้กระทะ(ทองแดง)ดีกว่าอุ่นไวได้ใจครับ  :))