
น้ำมันเครื่องเปลี่ยนเร็วขึ้นจะมีผลดีกับเครื่องมากคับ
น้ำมันเครื่องที่ใช้งานได้ 25000 กม. และรถติดแก๊สด้วย แล้วใช้ในเมืองไทยด้วย
ผลออกมาบางทีจะยิ่งกว่าที่คุณแจ ลงภาพให้ดูด้วยคับ
-น้ำมันเครื่องธรรมดาทนความร้อนเครื่องยนต์ได้ที่อุณหภูมิต่ำๆๆ ถ้าอุณหภูมิสูงจะทนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็เสื่อมสภาพ
-น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ จะทนความร้อนสูงขึ้นมาอีกหน่อย แต่ก็ไม่พอสำหรับรถยุโรป ที่ใช้งานในประเทศไทย ความร้อนจะสูง และบ้างคันใช้แก๊สเป็นพลังงานทดแทน แก๊สความร้อนในการเผาไหม้จะสูงกว่าน้ำมันมาก เพราะงั้นกึ่งสังเคราะห์ก็ทนได้ไม่นานจะเสื่อมสภาพ หมดคุณสมบัติในการหล่อลื่น กลายเป็นโลหะสีกัน และตัวน้ำมันจะกลายเป็นน้ำมันเตา แบบที่มีโคลนเกาะมากๆๆ
-น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะทนอุณหภูมิได้ 230 องศาเพียงพอสำหรับการใช้งาน 8000 -10000 กม. แต่เกินกว่านี้ก็ กลายเป็นน้ำมันเตาเหมือนกันคับ
แต่ทั้งหมดถ้าเป็นน้ำมันเก่ามาทำใหม่ หรือน้ำมันปลอม อันนี้แค่ 2 ชั่วโมงก็เป็นน้ำมันเตา และเวลามากกว่านั้นก็จะเกาะเครื่องยนต์เป็นคราบ เรื่องการหล่อนลื่นไม่มีเลย เพราะตัวมันเองสู้ความร้อนไม่ไหวอยู่แล้วคับ
เพราะงั้นใช้รถในประเทศไทย อากาศร้อน รถติด รถมือ 2 การระบายความร้อนของระบบหล่อเย็นไม่ดีเหมือนรถใหม่ ทุกๆๆตัวนี้จะเป็นผลต่อน้ำมันเครื่องในการเสื่อมสภาพทั้งหมดคับ
เครื่องยนต์ N42/N46 ที่พังกันและแย่กันทั้งหมดเกิดจากการใช้งานน้ำมันเครื่อง 25000 กม./การเปลี่ยนถ่ายแต่ระครั้งเป็นระยะเวลา 5 ปีหลังจากนั้นมาดูแลนอกศูนย์ ถ้ายังเปลี่ยนถ่ายที่ 25000 กม.และเครื่องยนต์ผ่านการใช้งานแบบนี้มา 5ปีแล้ว
มาถึงมือ 3ที่เรากำลังซื้อใช้กันอยู่นี้ก็อายุ 10 ปี
1.บางคันควันขาว
2.บางคันเครื่องเดินไม่เรียบ
3.บางคันความร้อนสูงมากจนจุดที่อ่อนที่สุดแตก จนถึงโอเวอร์ฮีท เสื้อสูบบิด ฝาโก่ง ฝาแตก
4.บางคันยังไม่แก้ปัญหาให้ระบบสมบูรณ์แต่ต้องการประหยัดไปติดแก๊ส เพื่อประหยัด แต่เครื่องพัง
ทั้งหมดนี้ต้นเหตุมาจากความร้อนเครื่องยนต์ในการระบายความร้อนไม่ดี และที่เครื่องยนต์สึกมากๆๆก็เกิดมาจากน้ำมันเครื่องที่เปลี่ยนถ่ายต่อครั้งที่ระยะทางมากๆๆ เพราะคิดว่าเครื่องยนต์คงจะไม่เป็นไรยังขับได้ดีอยู่เลย
ประหยัดอย่างอื่นได้แต่อย่าประหยัดน้ำมันเครื่องในการหล่อลื่นเครื่องยนต์เด็ดขาดคับ