คิมจองอึน
สั่งให้ กองทัพเกาหลีเหนือ "พร้อมรบ" จากผู้นำสูงสุด คิมจองอึน วัย 30 ออกมาตอนเที่ยงคืน...
เหมือนคำประกาศต่อสหรัฐ ว่า " กูไม่กลัวมึง " ยามวิกาลทีเดียว
เป็นการใช้ภาษาดุดันที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาจากเปียงยาง ในช่วงหลังนี้เพราะเกาหลีเหนือประกาศตัดโทรศัพท์ "สายร้อน" กับโซลก่อน จากนั้นก็ออกคำสั่งว่า "สัญญาสงบศึกชั่วคราว" กับเกาหลีใต้เป็นโมฆะแล้ว เพราะ "สงครามจะระเบิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้"
และวันต่อมาก็ออกประกาศด้วยน้ำเสียงกร้าว ว่า ประเทศได้เข้าสู่ "ภาวะสงคราม" กับเกาหลีใต้แล้ว
ณ วันนี้ยัง...เป็นเพียง "สงครามน้ำลาย" มากกว่าจะเป็นการเตรียมรบภาคพื้นดินหรือทางอากาศ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้หรือกับสหรัฐ
เพราะว่าแสนยานุภาพทางทหารของเกาหลีเหนือ ยัง "เป็นรอง" มากนัก แต่ที่ "คิมจองอึน" ต้องแสดงความขึงขังด้วยลีลา น้ำเสียง และระดมทหารให้มาพาเหรดที่จัตุรัสกลางเมือง พร้อมยกมือตะโกน "พร้อมรบ" นั้น เป็นเพราะเขาต้องส่งสัญญาณให้คนของเขาเองเห็นว่าเขาคือผู้นำตัวจริง เสียงจริง ใครอย่ามาคิดลองของเป็นอันขาด
ที่สำคัญ ผู้นำหนุ่มคนนี้ ต้องให้กองทัพเกาหลีเหนือ ที่เคยยอมรับบารมีของพ่อและปู่อย่างราบคาบ ยอมรับตนเองในระดับเดียวกันด้วย
ดังนั้น ที่ได้ยินเหมือนเป็นเสียงลั่นกลองรบจากเกาหลีเหนือในช่วงนี้ จึงเป็นการ "สร้างอำนาจต่อรอง" ทั้งในประเทศและกับสหรัฐ เพื่อให้มีการเจรจาแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่าง
จากเหตุรอบด้านแล้ว เกาหลีเหนือกำลังต้องการ "ความสนใจ" จากชาวโลก เพื่อชี้ให้เห็นว่า สหรัฐ คือ "ผู้ร้าย" เพราะเป็นคนข่มขู่คุกคามก่อน และเกาหลีเหนือจะไม่มีวันยอมก้มหัวให้ พร้อมจะสู้ตายถวายชีวิต
แต่ เปียงยาง มีปัญหาภายในมากมายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ยอบแยบ ข้าวปลาอาหารที่ขาดแคลน กองกำลังที่แม้จะมีทหารเกินล้านคน แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ทันสมัยพอที่จะทำสงครามสมัยใหม่ได้
ล่าสุด มติของ พรรคคนงาน (ชื่อทางการของพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ) ยืนยันว่า ยังไงๆ เสีย ก็จะไม่ยอมเจรจาต่อรองกับสหรัฐ เพื่อให้เลิกการทดลองนิวเคลียร์ แม้ว่าอเมริกาจะเสนอเงินช่วยเหลือทดแทนเป็นพันล้านดอลลาร์ ก็ตาม
ขณะเดียวกัน อเมริกาก็ส่งฝูงบินรบ F-22 ใหม่ จากฐานทัพในญี่ปุ่น มาร่วมซ้อมรบเกาหลีใต้แล้ว...เพื่อต้องการจะกดดันเปียงยางต่อเนื่อง เผชิญหน้ากันอย่างนี้ อยู่ที่ใครว่าจะยอมกะพริบตาก่อนเท่านั้น
การศึกสงครามยังจะไม่เกิดในเร็ววันนี้...และวิวาทะขู่เรื่องสงครามนั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อจะได้ไม่ต้องทำสงครามจริง
แน่นอนหลายคนเชื่อว่า นี่เป็นเพียงการใช้คารมรุนแรง เพื่อที่จะให้เกาหลีเหนือเห้นว่าผู้นำคนใหม่มีความกล้าหาญชาญชัยที่จะเผชิญหน้ากับสหรัฐเท่านั้น แต่ว่าในภาคปฏิบัตินั้น ยังห่างไกล ถึงกระนั้นก็ตามความตึงเครียดยังเกิดขึ้นเพราะว่าสหรัฐยังแสดงแสนยานุภาพเหนือเกาหลีเหนือ ส่วนเกาหลีเหนือก็ต้องการแสดงว่าไม่กลัวสหรัฐและจะทดลองนิวเคลียร์ต่อไป
ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร และท่าทีเกาหลีเหนืออย่างนี้แสดงว่า ยังไม่พร้อมจะกลับเข้ามาสู่โต๊ะเจรจา
นี่เป็นเรื่องใหญ่ สหรัฐควรจะลดการยั่วยุ ไม่ควรมีการซ้อมรบ หรือส่งเครื่องบินที่มีแสนยานุภาพขนาดนี้มาคล้ายๆ กับข่มขู่เกาหลีเหนือ จีนก็ควรจะมาเตือนสหรัฐและเตือนเกาหลีเหนือเพื่อนเก่า หรือเพื่อนปัจจุบัน พร้อมๆ กันไปว่า ทั้งสองฝ่ายไม่ควรจะยั่วยุกันต่อไป มิฉะนั้นความตึงเครียดนั้นถ้าหากควบคุมไม่ได้ หรือว่ามีเหตุ อุบัติเหตุอย่างไรเกิดขึ้นละก็ จะทำให้ภาวะของความตึงเครียดนั้นทรุดโทรมลง