ผู้เขียน หัวข้อ: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***  (อ่าน 3426 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Krisada511

  • คิดว่าดีก็ทำต่อไป
  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 13170
  • 325i M-Sport-N52k
    • http://www.subaruxvthailand.com/
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

เนื้อเพลง : จะหยิบยอดเมฆ
ศิลปิน : อารักษ์ อาภากาศ

ดนตรี
..ใครว่า จะหยิบยอดเมฆ
มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก
แม่ป้อนไป ฟ้อนไป
ว่าบริวารทรัพย์สมบัติมากมาย
คู่ควรครองไว้
ไว้เปล่งบารมี
ลูบกาย ลูบใจ รูปผอมๆ
ลูบคลำตรงท้อง
แหมหิวแทบขาดใจ
คำโตๆ คำเล็กๆ เลือกไม่ได้
คงความหิวไว้
ไว้สอนใจเตือนตน
..ประสบการณ์ ประสบเก
คนประสบผล
บางคนประสบภัย
อย่าทำเป็นเล่น
เอาจริงๆจะไม่ไหว
เดี๋ยวจะลืมตัวไป....
..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ
มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก
แม่ป้อนไป ฟ้อนไป
ว่าบริวารทรัพย์สมบัติมากมาย
คู่ควรครองไว้
ไว้เปล่งบารมี

ดนตรี...
..................
..ใครว่าจะหยิบยอดเมฆ
มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก
แม่ป้อนไป ฟ้อนไป
ว่าบริวารทรัพย์สมบัติมากมาย
คู่ควรครองไว้
ไว้เปล่งบารมี
..ชีวิตจริงยังไม่อิงนิยาย
ทำมาค้าขาย ทำมาหากิน
มีรถเข็น มีแผงลอย ขับรถเบนซ์
ภูมิใจเท่าที่เป็น
ไม่คุยโอ้อวดเบ่ง...
ว่าเราจะหยิบยอดเมฆ
มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก
แม่ป้อนไป ฟ้อนไป
ว่าบริวารทรัพย์สมบัติมากมาย
คู่ควรครองไว้
ไว้เปล่งบารมี
ใครว่าจะหยิบยอดเมฆ
มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก
แม่ป้อนไป ฟ้อนไป
ว่าบริวารทรัพย์สมบัติมากมาย
คู่ควรครองไว้
ไว้เปล่งบารมี
ใครว่าจะหยิบยอดเมฆ
มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก
แม่ป้อนไป ฟ้อนไป
ว่าบริวารทรัพย์สมบัติมากมาย
คู่ควรครองไว้
ไว้เปล่งบารมี
ใครว่าจะหยิบยอดเมฆ
มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก
แม่ป้อนไป ฟ้อนไป
ว่าบริวารทรัพย์สมบัติมากมาย
คู่ควรครองไว้
ไว้เปล่งบารมี
สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว / ขอแนะนำเวปส่วนตัว ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

num2012

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 8402
  • ทำดี คิดดี ......ทำต่อไป
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 05, 2013, 17:04:14 »
 :-\ :-\ :-\
เก่า แต่ไม่แก่นะ

Krisada511

  • คิดว่าดีก็ทำต่อไป
  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 13170
  • 325i M-Sport-N52k
    • http://www.subaruxvthailand.com/
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 05, 2013, 17:09:55 »

ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

อารักษ์ อาภากาศ เกิดวันที่ 20 กพ.2497เตี่ยแม่เป็นชาวจีนอพยพจากเมืองจีน มีพี่น้องรวม 11 คน เกิดและโตที่ กทม. เรียนมัธยมที่รร.เทเวศศึกษา และ ไพศาลศิลป์ หัดเล่นกีต้าร์เมื่ออายุราวๆ 16-17 ปี เตี่ยเป็นช่างทอง แม่เป็นชาวนา ขาดเรียนไปทำงานอยู่ประเทศลาว (เวียงจันทร์) 1 ปี ไปทำงานปั่นด้านที่ฮ่องกง 2 เดือน ไปทำงานอยู่ประเทศอังกฤษปีกว่า เดินทางท่องเที่ย วโบกรถ เปิดหมวกในประเทศยุโรป 2-3 เดือน เปิดกิจการทำร้านอาหารบังกะโลอยู่ภูเก็ต 3-4 ปี แต่ความคิดที่อยากแต่งเพลงตั้งแต่อายุ 16-17 มันหมุนอยู่ในหัวตลอดมา ตัดสินใจเลิกกิจการร้านที่ภูเก็ต ตั้งใจทำงานเพลงอย่างเดียว 1 ปีผ่านมาบันทึกเสียงกับชาวญี่ปุ่น เฮเดกิโมริ ในชุด คนเดินดิน และต่อมาได้รับรางวัล สีสันอวอร์ด (ปี 34) ต่อมามีงานบันทึกอีก 3 ชุดปัจจุบันกำลังทำงานเพลงอยู่สม่ำเสมอ

สำหรับนักฟังเพลงไทยที่อายุขึ้นเลขสี่นำหน้าโปรดอ่านข้ามคำแนะนำศิลปินคนนี้ไปได้เลย แต่สำหรับนักฟังเพลงรุ่นใหม่คงต้องแนะนำกันสักนิดว่า อารักษ์ อาภากาศ คือนักร้อง นักดนตรี และนักแต่งเพลง ที่คนรู้จักกันดี ในฐานะศิลปินที่ได้รับรางวัลสีสันอะวอร์ดส์ ปี 2534 และหลายคนเลือกที่จะจดจำเขาในฐานะ ไท ตัวละคร ในหนังสือเรื่อง พันธุ์หมาบ้า ของ ชาติ กอบจิตติ จนเจ้าตัวต้องหยิบยกคำของ ชาติ กอบจิตติ มาไว้ในอัลบั้มนี้ว่า เขาไม่ใช่ ไท ในนิยายแต่อย่างใด ซึ่งในอัลบั้มคนเดินดินนี้เป็นการเอาอัลบั้มเดียวกันกับเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้วมาทำใหม่ในคุณภาพเสียงเดิม จึงทำให้อารมณ์เพลง อย่าง ‘น้อยก็หนึ่ง’ ‘จะหยิบยอดเมฆ’ หรือ ‘อโหสิกรรม’ ยังคงบรรยากาศเดิมๆ ไว้ และคงพอทำให้แฟนเพลงเก่าๆ ได้ย้อนนึกถึงวันเวลาร่วมสมัย ขณะที่เด็กรุ่นใหม่จะลองเสพเพลงของศิลปินที่ช่างเลือกช่างประดิษฐ์คำคนนี้บ้าง ก็ไม่น่าเสียหาย

"มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า หากเปรียบผลงานเพลงของอารักษ์กับภาพเขียน ก็จะได้ภาพเขียนแนว ABSTRACT คือตวัดพู่กันเป็นรูปที่ให้คนดูตีความตามจินตนาการ ทุกบทเพลงที่เขาได้เอื้อนเอ่ย ช่างลึกซึ้งและทรงคุณค่ายิ่ง"

อารักษ์ อาภากาศ ศิลปินเพื่อชีวิตที่ร่ายรำแนวทางการคิดผ่านบทเพลงที่เป็นกวีของเขาด้วยท่วงทำนองในวิถีแห่งความจริงที่อาจจะสุข และเจ็บปวด! ย้อนกลับไปเมื่อปี 2534 ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเขาคนนี้ อารักษ์ อาภากาศ ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม รางวัลทางดนตรีสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 4

อารักษ์ บอกว่า... เพลงของเขาไม่สมบูรณ์ หรือถูกต้องตามกฎของดนตรี แต่ความไม่สมบูรณ์นั่นแหล่ะคือสิ่งที่เขาเป็น!?

อารักษ์ อาภากาศ นับเป็นศิลปินอีกคนที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งฝีไม้ลายมือในการเขียนเพลง ด้วยภาษากวี ที่แฝงความหมายไว้มากมาย มีหลากหลายวลีที่เขาได้เรียบร้อย ซึ่งทำให้ผู้ฟังได้นึกคิด และต้องจิตนาการในขณะที่ได้ฟังเพลงของเขา บางครั้งมีหยิก กัด ประชดประชันสังคม ก็ไม่น้อย แม้บางคนอาจจะเรียกว่า ตลกร้าย ก็สุดแล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ คือ เขาได้เอาทั้งวลี และสำเนียงกีต้าร์ มันคือตัวตนของเขาล้วนๆ

อารักษ์ อาภากาศ มีผลงานอัลบั้มออกมาเพียง 5 ชุด ไล่จาก คนเดินดิน (2534) ตะเกียงแห่งความรัก (2540) วิถีโฟล์ค (2546) คิดถึงคนที่ไม่ได้ไปหา และ ปาย...ไม่เปลี่ยน (2551)

หากใครเคยอ่านนิยายเรื่อง “พันธุ์หมาบ้า” ของชาติ กอบจิตติก็ต้องรู้จักตัวละครเอกในเรื่องที่ชื่อ “ทัย” เขาชอบเล่นกีต้าร์และร้องเพลง และถ้าหากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของนิยายเรื่อง “พันธุ์หมาบ้า” แล้ว ก็ต้องรู้ลึกยิ่งไปกว่านั้นว่าตัวละครที่ชื่อ “ทัย”นั้น ชาติ กอบจิตติ ได้สร้างขึ้นจากส่วนผสมชีวิตของ อารักษ์ อาภากาศ ได้อย่างกลมกลืน จนผู้อ่านเข้าใจว่า”ทัย” คือ “อารักษ์” ความจริงคือไม่ได้ถอดแบบมาทั้งหมด

ผมกับอารักษ์รู้จักกันครั้งแรกเมื่อราวๆ ปี พ.ศ.2525 ตอนนั้นเรายังอยู่ในวัยหนุ่มคึกคะนอง เราพบกันที่เกาะเสม็ด ต่างฝ่ายต่างก็หลงรักทะเล และความเงียบสงบเหมือนกัน ถึงขั้นเคยคลุกคลีตีโมงกันอยู่ที่เสม็ดกันครั้งละนานๆ แต่ผมกับเขาก็เป็นเพียงนักแสวงหาผู้โง่เขลาที่จมปลักอยู่ในความเมามายทั้งน้ำและควันจากพืชพันธุ์อันสูบได้

ในช่วงระหว่างทางของชีวิตผมกับเขาต่างก็แยกย้ายกันไปตามวิถีชีวิตของตน มาพบกันอีกครั้งก็ต่อเมื่อต่างก็มีครอบครัวกันแล้ว และบังเอิญอย่างยิ่งว่าปัจจุบันนี้บ้านของผมกับเขาอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก อย่างน้อยก็ยังอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีเหมือนกัน

หลายปีที่ผ่านมาเขามีสถานภาพเป็นนักร้องที่มีแฟนเพลงเหนียวแน่นอยู่กลุ่มหนึ่ง แต่ทว่าเป็นจำนวนไม่มากนัก เทปเพลงชุดแรกจากใต้ดินยกระดับขึ้นสู่บนดินได้สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่างมากคือชุด “คนเดินดิน” ถึงกับได้รับรางวัลสีสันอวอร์ดเมื่อหลายปีมาแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเขากับกีตาร์เป็นเงาของกันและกันตลอดมา

เพลงเก่าที่อยากให้ ฟัง เพิ่งหาเจอ หลังจากที่ ทำหายไป หลายปี  ...จะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก มาอ้อนไป ฟ้อนไป .... ผลงานเพลงของคุณ อารักษ์ อาภากาศ ชุดคนเดินดิน จริงแล้วผมชอบ เพลงน้อยก็หนึ่ง แต่เกรงใจ ท่านเจ้าของผลงานเพลง ขอนำมาให้ฟังเพีงเพลงเดียวแล้วกัน ชุดนี้มี 10 เพลง เพราะทุกเพลง

1.คนเดินดิน
2.วิถี(จากเพลงของ Cat Steven)
3.เงาดวงจันทร์
4.น้อยก็หนึ่ง
5.ฒ.ด.
6.กรุงเทพฯรมควัน
7.จะหยิบยอดเมฆ
8.ไอยราไห้
9.โลกนิรันดร์
10.อโหสิกรรม

งานเพลงคุณภาพสำหรับคอเพลงอคูสติก บทกวีที่พลิ้วไหวล้อละเล่นกับดนตรีที่กรีดกรายออกจากเส้นสายของกีตาร์ด้วยชั้นเชิงทางดนตรีที่เรียบง่ายสไตล์โฟล์ค ด้วยเนื้อหาซึ่งกลั่นจากการสังเกตการณ์สังคมผสมผสานจินตนาการและความงามแห่งบทกวี สะท้อนมุมมองความรู้สึกออกมาเป็นบทเพลงที่เปี่ยมเสน่ห์และมีพลัง
   
น้อยก็หนึ่ง...เป็นที่ยอมรับและรู้จักกันดีสำหรับนักฟังเพลงทั่วไป เป็นเอก รัตนเรือง นำมาเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ "ฝันบ้าคาราโอเกะ" ด้วยท่วงทำนองเศร้าปนความเหงาในความรู้สึก บรรยายถึงความรักและการให้กำลังใจ กีตาร์ปิ๊คกิ้งเบาๆ เคล้าเสียงเปียโนบางๆ คีย์บอร์ดโอบอุ้มความรู้สึกเศร้าแต่อบอุ่น เนื้อหาบทเพลงสะท้อนมุมมองความรักของคนที่ผ่านโลกจนเจน "น้อยก็หนึ่ง..น้อยก็ด้วย..หัวใจบริสุทธิ์......วันคืนเปลี่ยน หมุนไปอย่างน่าสนใจ ฉันเพียงให้...หัวใจ...แสนบริสุทธิ์...." "....ความรักโปรยปราย..กายและใจ เธอและฉันใฝ่ปอง..... ความรักโปรยปรายคลายทุกข์กาย คลายทุกข์ใจ..ถ่ายถอน...... ...ความรักมีจริง ความรักเป็นจริง .....น้อยก็ยอม"   ความรักแม้จะมีน้อย...แต่ก็ยังเป็นหนึ่งที่ยังได้ชื่อว่ารัก
   
คนเดินดิน.....บอกเล่าเรื่องราวชีวิตธรรมดาของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามบนโลก ที่ยังต้องขวนขวายดิ้นรนทำมาหากิน ...หากแต่ศีลธรรมนั้นเล่า ใครบ้างมีเวลามานั่งตรึกตรองลองดูบนเหตุและผล ต่างคนต่างทำดีทำชั่วด้วยตัวเอง สะท้อนความเป็นปัจเจกอย่างชัดจริง เพียงแค่มีลมหายใจเพื่อบางสิ่งที่ต้องทำ แล้วเราล่ะหรือ..มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด... เสียงปิ๊คกิ้งกีตาร์สลับการสตรัมบ์คอร์ดเบาๆ คลอด้วยเสียงฮาร์โมนิก้าโหย เคล้าเสียงเคาะดิบๆ ของบองโก บอกเล่าความธรรมดาของชิวิตปุถุชน...คนเดินดิน
   
จะหยิบยอดเมฆ.....บทกวีพลิ้วไหว ชวนที่จะหยิบยอดเมฆมาจิ้มน้ำพริก....สตรัมบ์กีตาร์ในสัดส่วนแปลกๆ กับเบสหนุบหนับๆ รับกับจังหวะ พอที่จะยึกยักได้ในที
   
กรุงเทพฯ รมควัน......ภาพสะท้อนเมืองกรุงฯ ที่ยังคงยุ่งอยู่เป็นอาจิณ กีตาร์ปิ๊คกิ้งในไลน์คันทรี่ ผสานบองโกให้พอคึกคัก เสียงโหยของฮาร์โมนิก้า บ่งอารมณ์ของความงงงวย วุ่นวาย คึกคัก สับสน ดังเนื้อเพลงที่ว่า...".....ต้องทันรถทันคน..คนสังคม ..สังคมของคนกรุง... เขามุ่งสิ่งแรกคืองาน ..งานคือเงิน เงินคือความสุข.....ดังชุบชีวิตที่อับจน ทำให้คนเรายิ้มแย้มพูดคุย ลุยไหนลุยกัน กรุงเทพฯรมควันเราอยู่กันด้วยเงิน..."

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 05, 2013, 17:15:19 โดย Krisada511 »
สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว / ขอแนะนำเวปส่วนตัว ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

Krisada511

  • คิดว่าดีก็ทำต่อไป
  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 13170
  • 325i M-Sport-N52k
    • http://www.subaruxvthailand.com/
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 05, 2013, 17:11:51 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน


ที่พักของเขาอยู่บนชั้นห้าของอพาร์ตเม้นท์ชานเมือง มีมุมที่มองเห็นธรรมชาติของสวนร่มรื่นสดชื่นสบายตา ภรรยาของเขาขายเครื่องประดับจำพวกเงินตามตลาดนัด ส่วนเขาไม่อาจทำงานอย่างอื่นได้นอกจากเขียนเพลงและร้องเพลง เวลาที่เขาเขียนเพลง ก็จะนั่งลงเขียนที่โต๊ะตัวนี้

“เกิดมาก็เห็นโต๊ะตัวนี้เลย เตี่ยเป็นช่างทองมีร้านทองเล็กๆ อยู่ย่านบางขุนพรหม นี่เป็นโต๊ะทำทองของเตี่ย เตี่ยเลี้ยงครอบครัวจากรายได้ที่ทำงานบนโต๊ะตัวนี้ โต๊ะนี่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือทำมาหากิน มีโต๊ะ ตะไบ ปั๊มลมแบบใช้เท้าถีบพ่นไฟ ค้อน เลื่อยเล็กๆ คีม กรรไกร สว่านทำทอง เครื่องมือไม่เป็นที่นิยมขอยืมกัน ใช้ของใครของมัน โต๊ะทำด้วยไม้จริง ไม้เต็ง หรือไม่ก็ไม้แดง ต้องเป็นไม้เนื้อแข็งและหนัก เพราะทำทองจะต้องตอกต้องเคาะจะได้ไม่เสียหายง่ายไม่โยกเยกสั่นคลอนง่าย”

เดิมทีเตี่ยเขาทำทองอยู่ในแพที่บ้านแพรก จังหวัดอยุธยา ก่อนที่จะมาเปิดร้านทำทองอยู่ที่บางขุนพรหม เลี้ยงลูกๆมาด้วยอาชีพช่างทอง โต๊ะตัวนี้เตี่ยเขาใช้มาตั้งแต่ตอนอยู่ที่เรือนแพแล้วหลังจากเตี่ยเลิกใช้ก็ไม่มีใครใช้อีก เขาจึงเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว โต๊ะตัวนี้น่าจะมีอายุได้เกือบแปดสิบปี แต่มาอยู่กับเขาราวยี่สิบห้าปีแล้ว

โต๊ะตัวนี้ติดตามเขาไปหลายแห่ง จากบางขุนพรหมไปอยู่ลาดพร้าว จากลาดพร้าวย้ายไปอยู่พัทยา ตอนที่ไปอยู่ภูเก็ตก็ฝากญาติไว้ที่บางลำพู ไปอยู่ระยองก็เอาไปด้วย จนกระทั่งมาถึงวันนี้นี้ย้ายจากระยองมาอยู่แถวรัตนาธิเบศร์

“ครั้งแรกที่ผมขนโต๊ะออกจากร้าน ไม่ได้คิดเรื่องเอาไปใช้งาน เพราะเห็นโต๊ะตัวนี้มาตั้งแต่เด็ก เตี่ยนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะนี้ โต๊ะก็ดี ตู้ทอง เตียงเก่าๆก็ดี ผมว่าเป็นความรู้สึกปกตินะ ที่ใครเห็นอะไรมาตั้งแต่เด็กๆ ก็อาจจะรู้สึกผูกพันกับสิ่งนั้นได้ พอมีครอบครัว ก็ขนโต๊ะตัวนี้มาด้วย โต๊ะนี้ใช้เขียนเพลงด้วย เคยพูดเล่นๆสวยๆว่า โต๊ะตัวนี้เตี่ยใช้สำหรับทำเครื่องประดับ..เพื่อเป็นเครื่องประดับร่างกาย พอมาถึงเราเป็นการบังเอิญโดยปริยายว่า โต๊ะตัวนี้เราใช้สำหรับเขียนเพลงทำเพลง...เพื่อเป็นเครื่องประดับอารมณ์”

อาจพูดได้ว่าโต๊ะตัวนี้ใช้เป็นที่เขียนเพลงทุกเพลงของเขา เพราะการเขียนเพลงไม่ใช่ เขียนครั้งเดียวเสร็จ ต้องแก้แล้วแก้อีก ไปเขียนเพลงได้ที่ไหนก็ต้องกลับมาบ้านมาแก้ไขขัดเกลาที่โต๊ะตัวนี้

  อารักษ์ อาภากาศ

 |  | 


« เมื่อ: 29 ตุลาคม, 2552, 09:44:21 » 

--------------------------------------------------------------------------------



อารักษ์ อาภากาศ เกิดวันที่ 20 กพ.2497เตี่ยแม่เป็นชาวจีนอพยพจากเมืองจีน มีพี่น้องรวม 11 คน เกิดและโตที่ กทม. เรียนมัธยมที่รร.เทเวศศึกษา และ ไพศาลศิลป์ หัดเล่นกีต้าร์เมื่ออายุราวๆ 16-17 ปี เตี่ยเป็นช่างทอง แม่เป็นชาวนา ขาดเรียนไปทำงานอยู่ประเทศลาว (เวียงจันทร์) 1 ปี ไปทำงานปั่นด้านที่ฮ่องกง 2 เดือน ไปทำงานอยู่ประเทศอังกฤษปีกว่า เดินทางท่องเที่ย วโบกรถ เปิดหมวกในประเทศยุโรป 2-3 เดือน เปิดกิจการทำร้านอาหารบังกะโลอยู่ภูเก็ต 3-4 ปี แต่ความคิดที่อยากแต่งเพลงตั้งแต่อายุ 16-17 มันหมุนอยู่ในหัวตลอดมา ตัดสินใจเลิกกิจการร้านที่ภูเก็ต ตั้งใจทำงานเพลงอย่างเดียว 1 ปีผ่านมาบันทึกเสียงกับชาวญี่ปุ่น เฮเดกิโมริ ในชุด คนเดินดิน และต่อมาได้รับรางวัล สีสันอวอร์ด (ปี 34) ต่อมามีงานบันทึกอีก 3 ชุดปัจจุบันกำลังทำงานเพลงอยู่สม่ำเสมอ

สำหรับนักฟังเพลงไทยที่อายุขึ้นเลขสี่นำหน้าโปรดอ่านข้ามคำแนะนำศิลปินคนนี้ไปได้เลย แต่สำหรับนักฟังเพลงรุ่นใหม่คงต้องแนะนำกันสักนิดว่า อารักษ์ อาภากาศ คือนักร้อง นักดนตรี และนักแต่งเพลง ที่คนรู้จักกันดี ในฐานะศิลปินที่ได้รับรางวัลสีสันอะวอร์ดส์ ปี 2534 และหลายคนเลือกที่จะจดจำเขาในฐานะ ไท ตัวละคร ในหนังสือเรื่อง พันธุ์หมาบ้า ของ ชาติ กอบจิตติ จนเจ้าตัวต้องหยิบยกคำของ ชาติ กอบจิตติ มาไว้ในอัลบั้มนี้ว่า เขาไม่ใช่ ไท ในนิยายแต่อย่างใด ซึ่งในอัลบั้มคนเดินดินนี้เป็นการเอาอัลบั้มเดียวกันกับเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้วมาทำใหม่ในคุณภาพเสียงเดิม จึงทำให้อารมณ์เพลง อย่าง ‘น้อยก็หนึ่ง’ ‘จะหยิบยอดเมฆ’ หรือ ‘อโหสิกรรม’ ยังคงบรรยากาศเดิมๆ ไว้ และคงพอทำให้แฟนเพลงเก่าๆ ได้ย้อนนึกถึงวันเวลาร่วมสมัย ขณะที่เด็กรุ่นใหม่จะลองเสพเพลงของศิลปินที่ช่างเลือกช่างประดิษฐ์คำคนนี้บ้าง ก็ไม่น่าเสียหาย

"มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า หากเปรียบผลงานเพลงของอารักษ์กับภาพเขียน ก็จะได้ภาพเขียนแนว ABSTRACT คือตวัดพู่กันเป็นรูปที่ให้คนดูตีความตามจินตนาการ ทุกบทเพลงที่เขาได้เอื้อนเอ่ย ช่างลึกซึ้งและทรงคุณค่ายิ่ง"

อารักษ์ อาภากาศ ศิลปินเพื่อชีวิตที่ร่ายรำแนวทางการคิดผ่านบทเพลงที่เป็นกวีของเขาด้วยท่วงทำนองในวิถีแห่งความจริงที่อาจจะสุข และเจ็บปวด! ย้อนกลับไปเมื่อปี 2534 ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเขาคนนี้ อารักษ์ อาภากาศ ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม รางวัลทางดนตรีสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 4

อารักษ์ บอกว่า... เพลงของเขาไม่สมบูรณ์ หรือถูกต้องตามกฎของดนตรี แต่ความไม่สมบูรณ์นั่นแหล่ะคือสิ่งที่เขาเป็น!?

อารักษ์ อาภากาศ นับเป็นศิลปินอีกคนที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งฝีไม้ลายมือในการเขียนเพลง ด้วยภาษากวี ที่แฝงความหมายไว้มากมาย มีหลากหลายวลีที่เขาได้เรียบร้อย ซึ่งทำให้ผู้ฟังได้นึกคิด และต้องจิตนาการในขณะที่ได้ฟังเพลงของเขา บางครั้งมีหยิก กัด ประชดประชันสังคม ก็ไม่น้อย แม้บางคนอาจจะเรียกว่า ตลกร้าย ก็สุดแล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ คือ เขาได้เอาทั้งวลี และสำเนียงกีต้าร์ มันคือตัวตนของเขาล้วนๆ





อารักษ์ อาภากาศ มีผลงานอัลบั้มออกมาเพียง 5 ชุด ไล่จาก คนเดินดิน (2534) ตะเกียงแห่งความรัก (2540) วิถีโฟล์ค (2546) คิดถึงคนที่ไม่ได้ไปหา และ ปาย...ไม่เปลี่ยน (2551)

หากใครเคยอ่านนิยายเรื่อง “พันธุ์หมาบ้า” ของชาติ กอบจิตติก็ต้องรู้จักตัวละครเอกในเรื่องที่ชื่อ “ทัย” เขาชอบเล่นกีต้าร์และร้องเพลง และถ้าหากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของนิยายเรื่อง “พันธุ์หมาบ้า” แล้ว ก็ต้องรู้ลึกยิ่งไปกว่านั้นว่าตัวละครที่ชื่อ “ทัย”นั้น ชาติ กอบจิตติ ได้สร้างขึ้นจากส่วนผสมชีวิตของ อารักษ์ อาภากาศ ได้อย่างกลมกลืน จนผู้อ่านเข้าใจว่า”ทัย” คือ “อารักษ์” ความจริงคือไม่ได้ถอดแบบมาทั้งหมด

ผมกับอารักษ์รู้จักกันครั้งแรกเมื่อราวๆ ปี พ.ศ.2525 ตอนนั้นเรายังอยู่ในวัยหนุ่มคึกคะนอง เราพบกันที่เกาะเสม็ด ต่างฝ่ายต่างก็หลงรักทะเล และความเงียบสงบเหมือนกัน ถึงขั้นเคยคลุกคลีตีโมงกันอยู่ที่เสม็ดกันครั้งละนานๆ แต่ผมกับเขาก็เป็นเพียงนักแสวงหาผู้โง่เขลาที่จมปลักอยู่ในความเมามายทั้งน้ำและควันจากพืชพันธุ์อันสูบได้

ในช่วงระหว่างทางของชีวิตผมกับเขาต่างก็แยกย้ายกันไปตามวิถีชีวิตของตน มาพบกันอีกครั้งก็ต่อเมื่อต่างก็มีครอบครัวกันแล้ว และบังเอิญอย่างยิ่งว่าปัจจุบันนี้บ้านของผมกับเขาอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก อย่างน้อยก็ยังอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีเหมือนกัน

หลายปีที่ผ่านมาเขามีสถานภาพเป็นนักร้องที่มีแฟนเพลงเหนียวแน่นอยู่กลุ่มหนึ่ง แต่ทว่าเป็นจำนวนไม่มากนัก เทปเพลงชุดแรกจากใต้ดินยกระดับขึ้นสู่บนดินได้สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่างมากคือชุด “คนเดินดิน” ถึงกับได้รับรางวัลสีสันอวอร์ดเมื่อหลายปีมาแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเขากับกีตาร์เป็นเงาของกันและกันตลอดมา


อัลบั้มชุดแรก คนเดินดิน


เพลงเก่าที่อยากให้ ฟัง เพิ่งหาเจอ หลังจากที่ ทำหายไป หลายปี  ...จะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก มีนางฟ้าระริก มาอ้อนไป ฟ้อนไป .... ผลงานเพลงของคุณ อารักษ์ อาภากาศ ชุดคนเดินดิน จริงแล้วผมชอบ เพลงน้อยก็หนึ่ง แต่เกรงใจ ท่านเจ้าของผลงานเพลง ขอนำมาให้ฟังเพีงเพลงเดียวแล้วกัน ชุดนี้มี 10 เพลง เพราะทุกเพลง

1.คนเดินดิน
2.วิถี(จากเพลงของ Cat Steven)
3.เงาดวงจันทร์
4.น้อยก็หนึ่ง
5.ฒ.ด.
6.กรุงเทพฯรมควัน
7.จะหยิบยอดเมฆ
8.ไอยราไห้
9.โลกนิรันดร์
10.อโหสิกรรม

งานเพลงคุณภาพสำหรับคอเพลงอคูสติก บทกวีที่พลิ้วไหวล้อละเล่นกับดนตรีที่กรีดกรายออกจากเส้นสายของกีตาร์ด้วยชั้นเชิงทางดนตรีที่เรียบง่ายสไตล์โฟล์ค ด้วยเนื้อหาซึ่งกลั่นจากการสังเกตการณ์สังคมผสมผสานจินตนาการและความงามแห่งบทกวี สะท้อนมุมมองความรู้สึกออกมาเป็นบทเพลงที่เปี่ยมเสน่ห์และมีพลัง
   
น้อยก็หนึ่ง...เป็นที่ยอมรับและรู้จักกันดีสำหรับนักฟังเพลงทั่วไป เป็นเอก รัตนเรือง นำมาเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ "ฝันบ้าคาราโอเกะ" ด้วยท่วงทำนองเศร้าปนความเหงาในความรู้สึก บรรยายถึงความรักและการให้กำลังใจ กีตาร์ปิ๊คกิ้งเบาๆ เคล้าเสียงเปียโนบางๆ คีย์บอร์ดโอบอุ้มความรู้สึกเศร้าแต่อบอุ่น เนื้อหาบทเพลงสะท้อนมุมมองความรักของคนที่ผ่านโลกจนเจน "น้อยก็หนึ่ง..น้อยก็ด้วย..หัวใจบริสุทธิ์......วันคืนเปลี่ยน หมุนไปอย่างน่าสนใจ ฉันเพียงให้...หัวใจ...แสนบริสุทธิ์...." "....ความรักโปรยปราย..กายและใจ เธอและฉันใฝ่ปอง..... ความรักโปรยปรายคลายทุกข์กาย คลายทุกข์ใจ..ถ่ายถอน...... ...ความรักมีจริง ความรักเป็นจริง .....น้อยก็ยอม"   ความรักแม้จะมีน้อย...แต่ก็ยังเป็นหนึ่งที่ยังได้ชื่อว่ารัก
   
คนเดินดิน.....บอกเล่าเรื่องราวชีวิตธรรมดาของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามบนโลก ที่ยังต้องขวนขวายดิ้นรนทำมาหากิน ...หากแต่ศีลธรรมนั้นเล่า ใครบ้างมีเวลามานั่งตรึกตรองลองดูบนเหตุและผล ต่างคนต่างทำดีทำชั่วด้วยตัวเอง สะท้อนความเป็นปัจเจกอย่างชัดจริง เพียงแค่มีลมหายใจเพื่อบางสิ่งที่ต้องทำ แล้วเราล่ะหรือ..มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด... เสียงปิ๊คกิ้งกีตาร์สลับการสตรัมบ์คอร์ดเบาๆ คลอด้วยเสียงฮาร์โมนิก้าโหย เคล้าเสียงเคาะดิบๆ ของบองโก บอกเล่าความธรรมดาของชิวิตปุถุชน...คนเดินดิน
   
จะหยิบยอดเมฆ.....บทกวีพลิ้วไหว ชวนที่จะหยิบยอดเมฆมาจิ้มน้ำพริก....สตรัมบ์กีตาร์ในสัดส่วนแปลกๆ กับเบสหนุบหนับๆ รับกับจังหวะ พอที่จะยึกยักได้ในที
   
กรุงเทพฯ รมควัน......ภาพสะท้อนเมืองกรุงฯ ที่ยังคงยุ่งอยู่เป็นอาจิณ กีตาร์ปิ๊คกิ้งในไลน์คันทรี่ ผสานบองโกให้พอคึกคัก เสียงโหยของฮาร์โมนิก้า บ่งอารมณ์ของความงงงวย วุ่นวาย คึกคัก สับสน ดังเนื้อเพลงที่ว่า...".....ต้องทันรถทันคน..คนสังคม ..สังคมของคนกรุง... เขามุ่งสิ่งแรกคืองาน ..งานคือเงิน เงินคือความสุข.....ดังชุบชีวิตที่อับจน ทำให้คนเรายิ้มแย้มพูดคุย ลุยไหนลุยกัน กรุงเทพฯรมควันเราอยู่กันด้วยเงิน..."



ที่พักของเขาอยู่บนชั้นห้าของอพาร์ตเม้นท์ชานเมือง มีมุมที่มองเห็นธรรมชาติของสวนร่มรื่นสดชื่นสบายตา ภรรยาของเขาขายเครื่องประดับจำพวกเงินตามตลาดนัด ส่วนเขาไม่อาจทำงานอย่างอื่นได้นอกจากเขียนเพลงและร้องเพลง เวลาที่เขาเขียนเพลง ก็จะนั่งลงเขียนที่โต๊ะตัวนี้

“เกิดมาก็เห็นโต๊ะตัวนี้เลย เตี่ยเป็นช่างทองมีร้านทองเล็กๆ อยู่ย่านบางขุนพรหม นี่เป็นโต๊ะทำทองของเตี่ย เตี่ยเลี้ยงครอบครัวจากรายได้ที่ทำงานบนโต๊ะตัวนี้ โต๊ะนี่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือทำมาหากิน มีโต๊ะ ตะไบ ปั๊มลมแบบใช้เท้าถีบพ่นไฟ ค้อน เลื่อยเล็กๆ คีม กรรไกร สว่านทำทอง เครื่องมือไม่เป็นที่นิยมขอยืมกัน ใช้ของใครของมัน โต๊ะทำด้วยไม้จริง ไม้เต็ง หรือไม่ก็ไม้แดง ต้องเป็นไม้เนื้อแข็งและหนัก เพราะทำทองจะต้องตอกต้องเคาะจะได้ไม่เสียหายง่ายไม่โยกเยกสั่นคลอนง่าย”

เดิมทีเตี่ยเขาทำทองอยู่ในแพที่บ้านแพรก จังหวัดอยุธยา ก่อนที่จะมาเปิดร้านทำทองอยู่ที่บางขุนพรหม เลี้ยงลูกๆมาด้วยอาชีพช่างทอง โต๊ะตัวนี้เตี่ยเขาใช้มาตั้งแต่ตอนอยู่ที่เรือนแพแล้วหลังจากเตี่ยเลิกใช้ก็ไม่มีใครใช้อีก เขาจึงเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว โต๊ะตัวนี้น่าจะมีอายุได้เกือบแปดสิบปี แต่มาอยู่กับเขาราวยี่สิบห้าปีแล้ว

โต๊ะตัวนี้ติดตามเขาไปหลายแห่ง จากบางขุนพรหมไปอยู่ลาดพร้าว จากลาดพร้าวย้ายไปอยู่พัทยา ตอนที่ไปอยู่ภูเก็ตก็ฝากญาติไว้ที่บางลำพู ไปอยู่ระยองก็เอาไปด้วย จนกระทั่งมาถึงวันนี้นี้ย้ายจากระยองมาอยู่แถวรัตนาธิเบศร์

“ครั้งแรกที่ผมขนโต๊ะออกจากร้าน ไม่ได้คิดเรื่องเอาไปใช้งาน เพราะเห็นโต๊ะตัวนี้มาตั้งแต่เด็ก เตี่ยนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะนี้ โต๊ะก็ดี ตู้ทอง เตียงเก่าๆก็ดี ผมว่าเป็นความรู้สึกปกตินะ ที่ใครเห็นอะไรมาตั้งแต่เด็กๆ ก็อาจจะรู้สึกผูกพันกับสิ่งนั้นได้ พอมีครอบครัว ก็ขนโต๊ะตัวนี้มาด้วย โต๊ะนี้ใช้เขียนเพลงด้วย เคยพูดเล่นๆสวยๆว่า โต๊ะตัวนี้เตี่ยใช้สำหรับทำเครื่องประดับ..เพื่อเป็นเครื่องประดับร่างกาย พอมาถึงเราเป็นการบังเอิญโดยปริยายว่า โต๊ะตัวนี้เราใช้สำหรับเขียนเพลงทำเพลง...เพื่อเป็นเครื่องประดับอารมณ์”

อาจพูดได้ว่าโต๊ะตัวนี้ใช้เป็นที่เขียนเพลงทุกเพลงของเขา เพราะการเขียนเพลงไม่ใช่ เขียนครั้งเดียวเสร็จ ต้องแก้แล้วแก้อีก ไปเขียนเพลงได้ที่ไหนก็ต้องกลับมาบ้านมาแก้ไขขัดเกลาที่โต๊ะตัวนี้



“คือส่วนตัวผมชอบคิดไปเองเวลาผมนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ จะทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีตมากมาย นึกถึงเตี่ยที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ นั่งผ่อนคลายสูบบุหรี่ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ ชีวิตในวัยเด็กจะเห็นภาพของเตี่ยคู่กับโต๊ะตัวนี้อยู่เกือบตลอดเวลา เห็นเตี่ยก็เห็นโต๊ะ เห็นโต๊ะก็เห็นเตี่ย เมื่อเห็นร่องรอยต่างๆที่ขอบโต๊ะ จะทำให้นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมามากมาย วิธีที่เตี่ยทำแหวน เวลาตะไบ ต้องเลื่อยกรอบพระ ก็จะผูกพันกับร่องรอยพวกนี้ งานที่เตี่ยทำขึ้นมาด้วยแรงความคิดและกำลัง ผมก็จะผูกพันกับโต๊ะตัวนี้
เวลาที่ผมเขียนเพลงผมเห็นร่องรอยพวกนี้ไปด้วย ผมรู้สึกว่ามันเป็นส่วนที่ผมภาคภูมิใจที่เตี่ยผมเป็นช่างศิลปะ เป็นช่างศิลปะ ทำทอง เวลาผมนั่งทำเพลงผมรู้สึกว่าศิลปะการเขียนเพลงของผมได้ถูกถ่ายทอดและแปรสภาพมาจากพลังอันนั้น”

เพลง “แม่นางลูกชาวนา” เขาก็เขียนที่โต๊ะตัวนี้ เป็นเรื่องของเตี่ยกับแม่ เนื้อเพลงท่อนที่ว่า “ตีแหวนพลอยให้นางสวมใส่” แหวนที่พูดถึงในเพลงก็ทำบนโต๊ะตัวนี้ และเพลงที่เขียนก็เขียนบนโต๊ะตัวนี้ ทั้งแหวนของเตี่ยและเพลงของเขาที่สร้างให้แม่ ต่างก็ใช้โต๊ะตัวนี้เป็นที่สร้างสรรค์ ทั้งสองสิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไม่น่าเชื่อ จะต่างกันก็เพียงเรื่องของ “เวลา” เท่านั้น

ที่มา ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 05, 2013, 17:15:52 โดย Krisada511 »
สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว / ขอแนะนำเวปส่วนตัว ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

ก๊อง

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 1266
  • สวัสดีครับ
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มีนาคม 05, 2013, 17:31:14 »
สมัยผมรุ่นๆเลยนะเนี่ย...ล้อมวงทีไรต้องเพลง "หมาวัด" 5555... :))

 ;) ;)
"กัมมุนา วัตตติ โลโก"

Jeeranapong B.

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 1082
  • I'm behind the BMW's wheel
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มีนาคม 05, 2013, 18:55:41 »
 :-\ ไอแพดผมมองไม่เห็นยูทูบที่โพสเอาไว้ จะต้องกดลิ้งค์เข้าไปถึงจะดูได้ แบบนี้ปกติหรือเปล่าครับ พอดีเพิ่งซื้อมาใช้ได้สามวันเอง มือใหม่อยู่คับ  >:D
"จะจงรักจอมจักริน อีกแดนแผ่นดิน ทำกินเก็บผล พระคุณเกษตรล้น รักเปี่ยมท้น ดวงจิตเอย"
JEERANAPONG  B.
[CIVIL ENGINEER][KU64][E60]
[Drive BMW 318ISE E46 Black Color]

Krisada511

  • คิดว่าดีก็ทำต่อไป
  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 13170
  • 325i M-Sport-N52k
    • http://www.subaruxvthailand.com/
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มีนาคม 05, 2013, 18:56:35 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
:-\ ไอแพดผมมองไม่เห็นยูทูบที่โพสเอาไว้ จะต้องกดลิ้งค์เข้าไปถึงจะดูได้ แบบนี้ปกติหรือเปล่าครับ พอดีเพิ่งซื้อมาใช้ได้สามวันเอง มือใหม่อยู่คับ  >:D

ปกติครับ  ;)
สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว / ขอแนะนำเวปส่วนตัว ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

Pitch win

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 1729
  • คิดดี ทำดี ให้ถึงที่สุด
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มีนาคม 05, 2013, 19:41:07 »
วันนี้มาแนวเพื่อชีวิตเลยเหรอครับ!! ???ผมน่ะเป็น O0 แต่ก็เพราะดีครับนานๆฟังสักครั้ง สำหรับน้องคนนี้ครับ

koobe

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 232
  • มิตรภาพ สำคัญ ยิ่งกว่าเงิน
    • http://www.thailandoffroad.com/jeep/
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มีนาคม 06, 2013, 08:31:31 »
อยากกด Like ให้พี่เลย ชอบครับ
มิตรภาพ ที่เกิดขึ้น  บนเส้นทาง ธุรกิจ
ย่อมดีกว่า
ธุรกิจ     ที่เกิดขึ้น บนเส้นทาง มิตรภาพ

min

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 237
Re: *** ..ก็ว่าจะหยิบยอดเมฆ มาจิ้มน้ำพริก ***
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 01:41:17 »
ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้ยินหรือรู้จักนักร้อง นักแต่งเพลงท่านนี้ (ถึงแม้อายุผมจะขึ้นเลขห้าแล้วก็ตาม) แต่ก็ชื่นชมและยกย่องท่าน หลังจากที่ท่านได้ขึ้นเล่นกีตาร์และร้องเพลงบนเวทีของพันธมิตร สุดยอดครับ นับถือในน้ำจิต น้ำใจของท่านจริง ๆ