ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
e85 มันมีองค์ประกอบหลักเป็น แอลกอฮอล์ ทำให้ตัวมันเองมี ออกซิเจนมากกว่าน้ำมันแบบอื่นๆ ให้พลังงานน้อยกว่า ผลจากออซิเจนที่มีมาก ทำให้ การติดไฟยาก มองในแง่ stoic คือ อัตราส่วนของเชื้อเพลิงกับอากาศ ที่ทำให้เกิดการติดไฟทางอุดมคติ จากน้ำมัน มันต้องการ 1 ต่อ 14.7 แต่ อี85 ต้อง มีเชื้อเพลิงไปยัน เชื้อเพลิง 1 ต่อ อากาศ 9.7 ส่วนในทางมวล ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน ถ้าเติมต้องเพิ่ม การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้เยอะขึ้นข้อดี คือ ออกเทนสูง บูตได้หนัก กำลังอัดสูง โดยที่ไม่ชิงจุด ถูกดี เหมาะสำหรับพวกจัดเต็มข้อเสีย เปลื้อง หาเติมยาก ต้องปรับไฟให้แก่ๆ แอดวานด์ไปเยอะๆ ไม่งั้นเผาไหม้ไม่ทัน
เอธานอลมีอีกหนึ่งคุณสมบัติคือดูดความชื้นได้ดีหรือพูดง่ายๆว่า ตัวเอธานอลจะดูดความชื้นในอากาศมาเก็บไว้และก็จะกลั่นออกมาเป็นน้ำ ปัญหาของเราคือเมื่อมันดูดความชื้นเข้ามากๆและมีน้ำปะปนอยู่กับน้ำมันมากๆ คุณภาพน้ำมันที่ได้ก็จะเลวลง เมื่อถึงจุดหนึ่งก็อาจทำให้เกิดการน๊อคจนถึงเครื่องพังได้ ดังนั้นถ้าจะใช้จริงๆควรจะมีการเติมบ่อยๆ วิ่งบ่อยๆไม่ควรจอดทิ้งไว้ (นั่นคือสิ่งที่เกิดกับแก๊ซโซฮอล ไม่ว่าจะ E10 E20 E85 หรือ E100 ก็ตาม) แน่นอนว่าราคาน้ำมันมันถูกกว่าทั่วๆไปแต่ก็ต้องใช้ปริมาณน้ำมันเยอะขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน ก็ไม่รู้จะคุ้มกันมั๊ยเพราะผมก็ยังไม่เคยลอง แต่ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ขับรถ การรักษาคุณภาพน้ำมันเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะรถที่ไม่ได้ใช้กล่องเดิมหรือมีความยืดหยุ่นได้ ถ้าเป็นพวก Standalone มันจะไม่ปรับไฟให้ น๊อคคือน๊อค พังคือพัง ส่วนเรื่องอ๊อคเทนของ E85 บอกตรงๆพวกผมก็พยายามหามาพักนึงแล้ว แต่มันไม่มีที่ไหนบอกเอาไว้แบบชัดเจน ถ้าใครรู้เอามาแชร์กันครับ
จริงๆแล้ว กำลังของเครื่องยนต์ขึ้นอยู่กับ กำลังอัด (ที่ถูกคือ อัตราส่วนการอัด หรือ compression ratio)ครับรถที่มีกำลังอัด 10:1(ยุโรป) จะแรงและประหยัดกว่า รถที่มีกำลังอัด 8:1 (ยุ่น) แน่นอนสิ่งที่ตามมาก็คือ รถที่มีกำลังอัด 10:1 จะต้องการเลข ออกเทน 95 ครับ ส่วน รถที่มีกำลังอัด 8:1 ทั่วไปใช้ ออกเทน 91 ก็พอทีนี้ก็ทำให้คนทั่วไป ส่วนใหญ่เข้าใจว่า เติมน้ำมันเลขออกเทนสูงๆ เครื่องมันจะแรงครับแต่ !!!!!!ผิดมหัน!!!!! เพราะจริงๆมันขึ้นกับการออกแบบมาจากโรงงานครับรถที่มีกำลังอัด 8:1 จากโรงงาน จะเติมออกเทน 100 ก็ไม่เกิดประโยชน์เท่าไร่ครับ เพราะมัน over require เติมได้(ไม่ทำให้เครื่องเสียหาย) แต่ไม่เกิดประโยชน์ครับ (เปลืองตังตะหาก)ถ้าจะให้เติมเลขออกเทนสูงแล้วเครื่องแรงขึ้น คุณต้องเพิ่ม กำลังอัด ด้วยครับ เช่น การ"ปาดฝาสูบ"อย่างไรก็ตาม ในรถรุ่นใหม่ๆ มันก็ไม่เป็นดังที่ผมกล่าว 100% เพราะ รถรุ่นใหม่ มีการควบคุมเครื่องยนต์ด้วย Electronic Control Unit (ECU) ที่ชาญฉลาดกล่าวคือมีระบบ feedback control system หรือการควบคุมแบบป้อนกลับ โดยอาสัย sensor ที่เรียกว่า knock sensor ครับระบบมันจะโยงไปกับองศาการจุดระเบิดล่วงหน้า (Spark Advance) ที่ภาษาช่างเรียกว่าไฟแก่ ถ้าไฟแก่มาก เครื่องจะ knock (แปลว่าเคาะ ช่างไทยเรียกว่า เครื่องเขก) ปกติถ้าไฟแก่มากเครื่องจะแรง แต่ถ้าแก่มาก เครื่องจะเขกทีนี้ไฟแก่ มันจะโยงกับเลขออกเทนด้วย เลขออกเทนยิ่งมาก จะยิ่งตั้งไฟแก่ได้มาก เครื่องจะแรงขึ้น จากการตั้งไฟแก่ได้รถรุ่นใหม่ๆ จะมีระบบตั้งไฟแก่ โดยอัตโนมัติ ECU จะเพิ่มไฟแก่ (Spark Advance) เรื่อยๆจนกว่าเครื่องจะเขก (knock)เมื่อเครื่องเขก knock sensor จะจับอาการได้ และจะป้อนกลับ (feedback) ไปที่ ECU เพื่อ ECU สั่งให้ ไฟอ่อน (Retard)และเมื่อไม่เกิดอาการเขกแล้ว ECU ก็จะสั่งตั้งไฟแก่ เช่นเดิม จนกว่าจะเขกอีกครั้ง วนไปมา อย่างนี้เรื่อยๆดังนั้น รถรั่นใหม่ๆ ที่สเปคเครื่องบิดให้เติม 91 แต่ดันไปเติม 95 ด้วย ECU ที่ฉลาด มันจะทำให้เกิดการตั้งไฟแก่มากขึ้นก็เข้า กฏไฟแก่มาก เครื่องแรงมาก จึงทำให้ รถรุ่นใหม่ที่มี ECU เติมเลขออกเทนสูง จะได้ความแรงขึ้นมาอีกเล็กน้อยครับ (แต่ไม่สู้ปาดฝาสูบ)สรุปว่า การเติมน้ำมันเลขออกเทนสูง จะทำให้1 รถโบราณใช้ คาบูเรเตอร์ กับจานจ่าย ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ2 รถรุ่นใหม่ใช้ ECU มีระบบ Multi Coil แรงขึ้นอีกเล็กน้อยปล1 ที่อธิบายมา ผมพยายามใช้ภาษาบ้านๆแล้วครับ ไม่รู้จะเข้าใจกันหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่แปลกครับ เพราะลูกศิษย์ผม ที่เรียนวิศวกรรมศาสตร์ ก็ยังไม่เข้าใจเลยปล2 จริงรายละเอียดลึกๆ มีมากว่านี้นะครับ แต่ผมกลัวจะออกทะเล มันเกี่ยวกับ การชิงจุดระเบิด หรือ self ignition
เท่าที่ผมเคยได้ยินมาพวกที่ทำโหดๆเค้าบอกผมมาว่า ถ้าอากาศร้อน วิ่งตอนกลางวัน ออกเทน 100 โอเคมาก แต่ถ้าอากาศเย็นวิ่งตอนกลางคืน ออกเทน 100 เติมไปก็ไม่มีผล 91 ยังวิ่งดีกว่าอีกอันนี้ผมเข้าใจว่าค่าออกเทน มีผลกับความร้อนภายนอก ถูกต้องรึเปล่าครับ ชี้แนะด้วย